วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Summer Solstice




The summer solstice occurs exactly when the Earth's axial tilt is most inclined towards the sun, at its maximum of 23° 26'. Though the summer solstice is an instant in time, the term is also colloquially used like Midsummer to refer to the day on which it occurs. Except in the polar regions (where daylight is continuous for many months), the day on which the summer solstice occurs is the day of the year with the longest period of daylight. The summer solstice occurs in June in the Northern Hemisphere north of the Tropic of Cancer (23°26'N) and in December in the Southern Hemisphere south of the Tropic of Capricorn (23°26'S). The Sun reaches its highest position in the sky on the day of the summer solstice. However, between the Tropic of Cancer and the Tropic of Capricorn, the highest sun position does not occur at the summer solstice, since the sun reaches the zenith here and it does so at different times of the year depending on the latitude of the observer. Depending on the shift of the calendar, the summer solstice occurs some time between December 21 and December 22 each year in the Southern Hemisphere, and between June 20 and June 21 in the Northern Hemisphere.

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Anne Frank


Annelies Marie "Anne" Frank ( pronunciation (help·info); 12 June 1929 – early March 1945)is one of the most renowned and most discussed Jewish victims of the Holocaust. Acknowledged for the quality of her writing, her diary has become one of the world's most widely read books, and has been the basis for several plays and films.

Born in the city of Frankfurt am Main in Weimar Germany, she lived most of her life in or near Amsterdam, in the Netherlands. By nationality, she was officially considered a German until 1941, when she lost her nationality owing to the anti-Semitic policies of Nazi Germany (the Nuremberg Laws). She gained international fame posthumously following the publication of her diary, which documents her experiences hiding during the German occupation of the Netherlands in World War II.

The Frank family moved from Germany to Amsterdam in 1933, the year the Nazis gained control over Germany. By the beginning of 1940, they were trapped in Amsterdam by the Nazi occupation of the Netherlands. As persecutions of the Jewish population increased in July 1942, the family went into hiding in the hidden rooms of Anne's father, Otto Frank's, office building. After two years, the group was betrayed and transported to concentration camps. Anne Frank and her sister, Margot, were eventually transferred to the Bergen-Belsen concentration camp, where they both died of typhus in March 1945.

Otto Frank, the only survivor of the family, returned to Amsterdam after the war to find that Anne's diary had been saved, and his efforts led to its publication in 1947. It was translated from its original Dutch and first published in English in 1952 as The Diary of a Young Girl. It has since been translated into many languages. The diary, which was given to Anne on her 13th birthday, chronicles her life from 12 June 1942 until 1 August 1944.

ดอกไม้วันไหว้ครู






ดอกมะเขือ เป็นดอกที่โน้มต่ำลงมาเสมอ ไม่ได้เป็นดอกที่ชูขึ้น คนโบราณจึงกำหนดให้เป็นดอกไม้สำหรับไหว้ครู ไม่ว่าจะเป็นครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมที่จะเรียนวิชาความรู้ต่างๆ นอกจากนี้มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่ เช่นเดียวกับหญ้าแพรก



ข้าวตอก เป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วคนเรามักจะมีความซุกซน ความเกียจคร้าน เป็นสมบัติมากบ้าง น้อยบ้างก็ตาม ตาเมื่อเขามีความต้องการศึกษาหาความรู้ เขาก็ต้องรู้จักควบคุมตนเองให้อยู่ในกรอบ ในระเบียบหรือในกฎเกณฑ์ที่สถาบันได้กำหนดไว้ ใครก็ตามหากตามใจตนเอง ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ บุคคลนั้นก็จะเป็นเหมือนข้าวเปลือกที่ถูกคั่ว แต่ไม่มีโอกาสได้เป็นข้าวตอก






ดอกเข็ม เพราะดอกเข็มนั้นมีปลายแหลม สติปัญญาจะได้แหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเป็นได้ว่า เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใช้ดอกเข็มไหว้ครู วิชาความรู้จะให้ประโยชน์กับชีวิต ทำให้ชีวิตมีความสดชื่นเหมือนรสหวานของดอกเข็ม


หญ้าแพรก เป็นหญ้าที่เจริญงอกงาม แพร่กระจายพันธ์ ไปได้อย่างรวดเร็วมาก หญ้าแพรกดอกมะเขือจึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า ถ้าใช้หญ้าแพรกดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว สติปัญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและ ดอกมะเขือนั่นเอง

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ร้อนแบบนี้ ทำยังไงให้ตัวหอมทั้งวัน



เรามาเริ่มกันที่การเลือกน้ำหอมหรือโคโลญให้เหมาะกับหน้าร้อนก่อนเลยค่ะ ... หน้าร้อนอากาศอบอ้าวแบบนี้ น้ำหอมที่มีกลิ่นแนวหอมสดชื่น เย็นสบาย กลิ่นอ่อนๆ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด อย่างเช่น น้ำหอมหรือโคโลญที่มีส่วนผสมของกลิ่นผลไม้ต่างๆ พวก orange blossom, pear, mint, ginseng และ ginger กลิ่นพวกนี้จะไม่ฉุนจนเกินไป กลิ่นหอมอ่อนจะสร้างความสดชื่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องๆ คนไหนที่มีผิวมัน ซึ่งผิวชนิดนี้จะกระจายกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ได้แรงมากกว่าสภาพผิวชนิดอื่นๆ น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ ถือว่าเหมาะที่สุดสำหรับหน้าร้อนนี้ค่ะ

แต่ถ้าน้องๆ กังวลว่า น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ ของเรานั้นจะอยู่กับเราได้ไม่ตลอดทั้งวัน แนะนำให้น้องๆ ลองหยดน้ำหอมใส่สำลีและใส่กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกงไว้ วิธีนี้จะช่วยรักษากลิ่นหอมให้อยู่กับเราได้นานขึ้นค่ะ หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือ ลองแตะน้ำหอมไปที่สัมภาระต่างๆ ในกระเป๋า เช่น ผ้าเช็ดหน้า ซองใส่โทรศัพท์ วิธีนี้จะช่วยให้กลิ่นหอมติดทนนานได้ และถ้าน้องๆ คนไหนกังวลว่าการฉีดหรือแตะน้ำหอมที่เสื้อผ้าแล้วจะทำให้เสื้อผ้าเกิดรอยด่างล่ะก็ ให้น้องๆ นำสำลีชุบน้ำหอม แล้วนำไปใส่ตู้เสื้อผ้าและปิดตู้ไว้ วิธีนี้จะช่วยให้กลิ่นหอมติดเสื้อผ้าโดยที่ไม่ต้องฉีดน้ำหอมเลยล่ะค่ะ

นอกจากนี้ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้กลิ่นหอมติดตัวเราได้นานๆ คือ ให้เราใช้ Cotton Bud แตะน้ำหอมจากปากขวดแล้วไปแต้มตามบริเวณจุดชีพจรต่างๆ บนร่างกาย สาเหตุที่เราต้องใช้ Cotton Bud แทนใช้นิ้วมือแต้มจากปากขวดก็เพราะว่า การที่เราใช้นิ้วมือแตะปากขวดน้ำหอม อุณหภูมิจากนิ้วเราอาจทำให้กลิ่นของน้ำหอมเปลี่ยนได้ค่ะ ส่วนถ้าน้องๆ คนไหนอยากเพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวเองล่ะก็ ลองฉีดน้ำหอมใส่ฝ่ามือเอาไว้ เวลาเราจับมือใครจะได้มีกลิ่นหอมน่าประทับใจยังล่ะคะ ยิ่งหน้าร้อนแบบนี้ด้วยแล้ว มือของบางคนอาจมีเหงื่อออกเยอะ วิธีนี้จะช่วยป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ค่ะ

และถ้าอยากให้กลิ่นหอมติดตัวไปทั้งวัน น้องๆ ก็ลองเลือกใช้ แชมพูหรือครีมอาบน้ำ ที่มีกลิ่นเดียวกับน้ำหอมหรือโคโลญที่เราใช้ วิธีนี้จะช่วยสร้างกลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นกายของเราเองซึ่งจะอยู่ได้คงทนกว่ากลิ่นน้ำหอม ส่วนในวันที่อากาศร้อนจัดซึ่งอาจทำให้เหงื่อออกและมีกลิ่นตัวได้ง่ายกว่าปกติ ให้น้องๆ ฉีดน้ำหอมห่างจากผมของเราประมาณ 1 ฟุต หรือฉีดน้ำหอมลงบนหวีที่ใช้หวีผม (เป็นน้ำหอมหรือโคโลญกลิ่นเดียวกับที่ฉีดตัว) วิธีนี้จะช่วยลดกลิ่นเหงื่อบนศรีษะของเราได้ในระดับหนึ่งค่ะ ...

สาหร่ายเถ้าแก่น้อย



นักธุรกิจหนุ่มในวัย 23 ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ใครจะคิดว่า จากเด็ก
ที่ชอบเล่นเกมส์ออนไลน์ เรียนหนังสือไม่เก่ง ถูกประณามเป็นเด็กไม่เอาถ่าน
จะกลายเป็นเจ้าของธุรกิจสาหร่ายทอดร้อยล้านภายใต้ชื่อ “เถ้าแก่น้อย”

เปลี่ยน Passion เป็นโอกาส
แม้ในอดีต “อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์” หรือ “ต๊อบ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด จะเคยเป็นหนุ่มน้อยหน้าตี๋ที่เกเร ย้อมผมทอง และติดเกมงอมแงม แต่เขาก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้ว เขาต้องทำให้ได้ จากเด็กน้อยที่อยากเป็นนักธุรกิจเหมือนคุณพ่อ เพราะรู้สึกว่า “เท่” เวลาที่พ่อเดินไปไหนมาไหนแล้วมีลูกน้องคอยยกมือไหว้สวัสดี แต่เมื่อเติบใหญ่ฝันนั้นก็ค่อยๆ เลือนลางไปพร้อมๆ กับความเกเรของตัวเอง
จนวันหนึ่งเมื่อพี่ชายมาชวนให้ต๊อบทดลองเล่นเกมออนไลน์ ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป
ด้วยความชอบและความมุ่งมั่น ไม่นานต๊อบก็กลายเป็นที่หนึ่งในเซิร์ฟเวอร์ที่มีผู้เล่น 4-5 แสนคน จนมีคนมาขอเสนอซื้อไอเท็มจากเขาพร้อมโอนเงินก้อนแรกมาให้ ประกายไฟที่เริ่มริบหรี่จึงถูกจุดขึ้นอีกครั้ง
“พอมาเล่นเกมแล้วหาเงินได้ก็เริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ยากอย่างที่คิด ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งก็หาเงินได้ นั่นคือจุดเริ่มต้น”
สร้างธุรกิจจากคำถามง่ายๆ
เมื่อมีขึ้นก็ย่อมมีลง เกมออนไลน์ที่เคยเฟื่องฟูก็ไม่พ้นวัฏจักรของ Product Life Cycle ที่เมื่อถึงเวลาเสื่อมถอย รายได้ของต๊อบก็หดหาย ประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ได้ส่งผลกระทบกับธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวเขาอย่างจัง
“มีอยู่วันหนึ่งผมไม่มีเงิน ก็เดินไปขอคุณแม่ คุณแม่เดินเข้าไปหยิบเงินในห้องนานมาก ประมาณ 10 กว่านาที ผมเลยเดินตามเข้าไป เห็นคุณแม่กำเงินไว้ทั้งน้ำตา จึงเกิดแรงบันดาลใจว่าต้องทำอะไรสักอย่าง”
สิ่งที่เคยวาดฝันไว้ในวัยเยาว์ว่าอยากเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยจึงเริ่มผุดเข้ามาในสมองเขาอีกครั้ง
วันหนึ่งเขาไปเดินงานแฟร์และพบกับแฟรนไชส์เครื่องคั่วเกาลัดจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยความที่ชอบกินเกาลัดเป็นทุนเดิม จึงเกิดคำถามง่ายๆ ขึ้นมาในใจว่า “ทำไมคนอยากกินเกาลัดต้องไปซื้อที่เยาวราช” และคำถามนั้นก็กลายเป็นที่มาของธุรกิจแฟรนไชส์เกาลัดแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ที่เติบโตมาจากเงินทุนของตัวเขาเองได้ในเวลาไม่นานนัก
แม้ต้องล้มลุกคลุกคลานในระยะแรก แต่เขาก็ปลุกปั้นเกาลัด “เถ้าแก่น้อย” จนสามารถขยายสาขาได้กว่า 30 สาขา ในระยะเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น
แล้วจุดเปลี่ยนที่สำคัญก็มาถึงอีกครั้ง เมื่อวันหนึ่งเขาไปเดินตรวจร้านของตัวเองตามห้างสรรพสินค้า ด้วยความหิวเขาจึงแวะเวียนไปที่ร้านไอศกรีมแดรี่ควีนเจ้าประจำ และสังเกตเห็นสิ่งง่ายๆ ที่ใครๆ ก็เห็นว่า นอกจากไอศกรีมแล้วภายในร้านยังมีไส้กรอกวางขายอยู่ด้วย
คำถามง่ายๆ ที่เกิดขึ้นว่า “ทำไมร้านเราไม่มีไส้กรอกขายบ้าง” จึงกลายเป็นไอเดียให้ต๊อบขยาย Product Line จากเกาลัด ไปสู่ลำไยอบแห้ง ลูกพลับแห้ง และขยายไปสู่ “สาหร่ายทอด” ซึ่งเป็นสินค้าที่ทำให้ฝันของเขากลายเป็นจริงในเวลาต่อมา

บุกตลาดด้วยกลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง”
หลังจากค้นพบเทรนด์ในตลาดว่าขนมขบเคี้ยวสาหร่ายกำลังมาแรง เพราะบางสาขาสามารถขายสาหร่ายได้มากกว่าสินค้าหลักอย่างเกาลัด ต๊อบจึงเริ่มหันมาทำตลาดสาหร่ายอย่างจริงจัง โดยแปลงหลังบ้านให้เป็นโรงงานผลิตสาหร่ายทอด และทดลองเจาะตลาดยี่ปั๊วเป็นอันดับแรก
แม้ไม่ประสบความสำเร็จในเบื้องต้น แต่แทนที่จะย่อท้อเขากลับคิดการใหญ่ขึ้นด้วยการใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งเป็นกลยุทธ์การกระจายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภค ที่เขาได้ยินแว่วๆ มาจากในทีวี

“ผมคิดว่าป่าน่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านสะดวกซื้อต้องมีสินค้าของเรา”
Seven Eleven จึงกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของต๊อบ เพราะเป็นร้านสะดวกซื้อที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย ถึงแม้ต้องผ่านอุปสรรคนานัปการ แต่สุดท้ายเมื่อเขาสามารถเจาะเข้า Seven Eleven ได้สำเร็จ แบรนด์เถ้าแก่น้อยก็เริ่มแจ้งเกิด

หลังจากปลูกป่าบนร้านสะดวกซื้ออย่าง Seven Eleven ได้สมใจแล้ว เขาก็ดำเนินกลยุทธ์ป่าล้อมเมืองต่อไป ด้วยการรุกเจาะเข้าไปในโมเดิร์นเทรดและซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ Jiffy, Family Mart, Watsons, The Malls, Tops, Big C, Tesco Lotus, Carrefour

ทั้งยังเจาะไปตลาดต่างประเทศด้วยกลยุทธ์เชิงรุก คือไม่รอไปออกงานแฟร์กับกรมส่งเสริมการส่งออกเพื่อให้ตัวเองเป็น “ผู้ถูกเลือก” แต่บุกไปถึงตัว Distributor ในต่างแดนโดยตรง เพื่อให้ตัวเองเป็น “ผู้เลือก”

วิธีการของเขาแสนจะง่ายและธรรมดา เพียงเดินไปตามห้างในประเทศที่ต้องการเจาะตลาด แล้วพลิกดูซองขนมว่าใครเป็นผู้จัดจำหน่ายในประเทศเหล่านั้นบ้าง จากนั้นก็เตรียมตัวนำสินค้าของเถ้าแก่น้อยไปเสนอเพื่อเปิดการเจรจาพร้อมด้วยข้อเสนอในการสนับสนุนการทำตลาด

ด้วยวิธีการนี้ทำให้สินค้าของเถ้าแก่น้อยมีวางจำหน่ายแล้วใน 16 ประเทศ ด้วยสัดส่วนการส่งออกที่สูงถึง 60% เมื่อต้นปี 2550 แม้จะปรับลดลงเหลือ 40% ในปัจจุบันแต่มูลค่าตลาดต่างประเทศกลับมิได้ลดลง หากเป็นเพราะเขาเลือกที่จะกลับมารักษาฐานที่มั่นของตลาดในประเทศพร้อมรุกตลาดตีกันคู่แข่งอย่างจริงจังในปีที่ผ่านมา
“ผมไม่ใช่แบรนด์แรกที่เข้ามาในตลาด แต่ผมเป็นแบรนด์แรกที่เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคได้”
คือคำกล่าวของต๊อบที่สะท้อนการทำตลาดของเถ้าแก่น้อยอย่างจริงจังในปี 2551 เนื่องจากตลาดต่างประเทศเริ่มมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว ด้วยยอดส่งออกกว่าเดือนละ 30 ล้านบาทเมื่อกลางปี 2550 ประกอบกับขณะนั้นค่าเงินบาทเริ่มแข็งตัว ทำให้ทิศทางการส่งออกเริ่มทำตลาดได้ยากขึ้น อีกทั้งตลาดในประเทศยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ทยอยเปิดตัวเข้ามาแข่งขันทำตลาดอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 แบรนด์

“ตลาดสาหร่ายปี 2551 เติบโตสูงมากและผู้เล่นรายอื่นๆ พยายามสร้างแบรนด์ขึ้นมา เราจึงต้องพยายามสร้างแบรนด์เพื่อรักษาความเป็นที่หนึ่ง”

กลยุทธ์การทำตลาดของเถ้าแก่น้อยในปีที่ผ่านมาจึงมีท่วงทำนองที่ “ดุดัน” ด้วยการเพิ่มงบการตลาดขึ้นอีกเท่าตัว จาก 25 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท เพื่อทำโฆษณาทีวีสื่อสารกับผู้บริโภคในวงกว้าง จากเดิมที่มุ่งเจาะแต่ช่องทาง Below the line ด้วยการโรดโชว์และทำโปรโมชั่น ณ จุดขาย

โฆษณาชิ้นแรกของ “เถ้าแก่น้อย” ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปี 2551 ด้วย Brand Concept ว่า “ถ้าเป็นสาหร่ายต้องเถ้าแก่น้อย” เพื่อตอกย้ำให้แบรนด์เถ้าแก่น้อยให้ติดปากผู้คนจนกลายเป็น Generic Name เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เรียกแทนด้วย “มาม่า” และผงซักฟอกที่คนนิยมเรียกกันว่า “แฟ้บ”

“ผมสร้างแบรนด์โดยใช้โฆษณาโทรทัศน์ที่ชูคอนเซ็ปต์ว่า “Seaweed is สาหร่ายเถ้าแก่น้อย” เพราะหลายคนไม่รู้ว่า Seaweed แปลว่า สาหร่าย การนำครูคริส (คริสโตเฟอร์ ไรท์) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของครูสอนภาษาอังกฤษมาสอนคำนี้ แล้วพ่วงด้วยคำว่าเถ้าแก่น้อยลงไปด้วย ช่วยตอกย้ำว่าเถ้าแก่น้อยคือขนมสาหร่าย และขนมสาหร่ายคือเถ้าแก่น้อย”
ออก Sub-brand กินรวบตลาดสาหร่าย
หลังจากปล่อยโฆษณาออกมาตอนต้นปี เถ้าแก่น้อยก็รุกต่อไปด้วยกลยุทธ์การออก Sub-brand เพื่อเจาะตลาดคนรักสุขภาพโดยเฉพาะ

ซับแบรนด์ Curve ที่เปิดตัวออกมาเมื่อกลางปี 2551 จึงถูกวาง Positioning เพื่อเจาะเซ็กเมนต์วัยรุ่นผู้หญิงอายุ 18-28 ปี ที่ห่วงสุขภาพและกลัวอ้วน เพื่อให้แยกตลาดชัดเจนจากแบรนด์เถ้าแก่น้อยที่วาง Positioning ไว้ที่กลุ่มเด็กและวัยรุ่นทั่วไป

“เดี๋ยวนี้สินค้าเป็น Niche Market มากขึ้น จึงต้องมีการซอยย่อย Segment เพื่อเจาะให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย สมัยนี้ไม่มีสินค้าที่ออกมาแล้วขายได้ครอบจักรวาลอีกต่อไปแล้ว Product จึงต้องเป็น Smart Product เพื่อแสดงความเป็นตัวตนของผู้บริโภคให้ได้ เหมือนมอเตอร์ไซค์ฟีโน่ที่ได้รับความนิยมเพราะบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้บริโภคได้”

ปี 2552 เถ้าแก่น้อยยังเตรียมออกซับแบรนด์ “ยากิโนริ” เพื่อเจาะตลาดสาหร่ายที่นำมาใช้ประกอบอาหาร จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคที่พบว่า เทรนด์เกาหลีและญี่ปุ่นกำลังมาแรง ทำให้ร้านอาหารสไตล์เกาหลีและญี่ปุ่นเติบโตขึ้นนับสิบเท่าในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“ตอนนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้ว จากเมื่อก่อนคนนิยมอาหารฝรั่ง แต่เดี๋ยวนี้ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลีมาแรง มีทั้งฟูจิ MK บาร์บีคิวพลาซ่า ยาโยอิ ฮาจิบัง ฯลฯ จากเมื่อก่อนมีประมาณ 2-3 ร้อยร้าน เดี๋ยวนี้มี 2-3 พันร้าน ปีนี้เราจึงเตรียมออกแบรนด์ “ยากิโนริ” เพื่อเจาะกลุ่มร้านอาหาร ด้วยการทำตัวเป็น Supplier สาหร่ายที่เราเป็นผู้นำเข้ามากที่สุดในขณะนี้”
แผนรุกตลาดปีวัว
นอกจากการออกซับแบรนด์เพื่อขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่เถ้าแก่น้อยเตรียมไว้เล่นในปีนี้ ต๊อบยังเตรียมแผนเจาะตลาดปีวัวโดยตั้งเป้ายอดขายสวนกระแสเศรษฐกิจซบเซา ด้วยการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายผ่าน Traditional Trade ที่เถ้าแก่น้อยยังกระจายสินค้าได้ไม่ครอบคลุม (เข้าถึงประมาณ 35%) ขณะที่ช่องทางโมเดิร์นเทรดอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตก็ยังมีช่องว่างให้ชอนไชได้อยู่อีกประมาณ 14%

เพราะแม้ว่าจะดึงผู้จัดจำหน่ายที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศอย่าง “ดีล์ทแฮม” มาช่วยกระจายสินค้าในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีช่องว่างในตลาดให้เล่นเพราะสินค้าบางชนิดที่เพิ่งเข้าตลาดใหม่ๆ อาจยังไม่เป็นที่แน่ใจของ Traditional Trade ทำให้ไม่กล้าสต็อกสินค้า ซึ่งเป็นโจทย์ของเถ้าแก่น้อย ต้องอุดช่องว่างด้วยการรุกประชาสัมพันธ์ให้หนักขึ้นในปี 2552

และยังมีแผนเปิดตัวหนังโฆษณาตัวใหม่เพื่อตอกย้ำแบรนด์ในใจผู้บริโภคไปอีกหนึ่งสเต็ป ด้วย Brand Positioning คือ เถ้าแก่น้อยเป็นแบรนด์ที่จะเข้าไปอยู่ในความทรงจำของผู้บริโภคอย่างถาวร และ Product Positioning ที่วางไว้ว่าสาหร่ายเถ้าแก่น้อยต้องเป็นสาหร่ายที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีคุณภาพ และมีราคาย่อมเยา

พร้อมด้วยการแตกโปรดักส์ไลน์ใหม่ๆ ภายใต้แบรนด์เถ้าแก่น้อย และซับแบรนด์อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะเขาอ่านทิศทางตลาดว่า ตลาดขนมขบเคี้ยวสาหร่ายจะเติบโตแบบดับเบิลไปได้อีกอย่างน้อย 3 ปี ก่อนที่การเติบโตจะเริ่มชะลอตัวและเข้าสู่จุดอิ่มตัวในที่สุด

“การที่ผลิตภัณฑ์จะไปอิ่มตัวที่ตรงจุดไหน ขึ้นอยู่กับ Product Innovation ว่าจะพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหนด้วย”

และนี่เองที่ทำให้เถ้าแก่น้อยวางเป้ายอดขายในประเทศปี 2552 ไว้ถึง 1,500 ล้านบาท หากรวมกับยอดส่งออกที่วางไว้อีกประมาณ 20% ก็คงเฉียดๆ 2,000 ล้านบาท ซึ่งคงไม่ใช่ตัวเลขที่เลื่อนลอย เพราะ 4 ปีที่ผ่านมา ต๊อบได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่อายุยังไม่ครบเบญจเพสอย่างเขา “ทำได้จริงๆ”

ที่มาของแบรนด์
ชื่อแบรนด์เถ้าแก่น้อยมาจากพ่อของอิทธิพัทธ์พูดแซวกับเพื่อนในโทรศัพท์ เมื่อเห็นลูกชายกำลังเตรียมตัวออกไปเซ็นสัญญาตั้งบูธแฟรนไชส์เกาลัดในห้างแห่งหนึ่ง เมื่ออิทธิพัทธ์คิดไม่ออกว่าจะใช้ชื่ออะไรตอนที่กรอกแบบฟอร์มจึงกรอกไปว่า “ร้านเถ้าแก่น้อย”

ครั้งหนึ่งอิทธิพัทธ์เคยคิดจะเปลี่ยนแบรนด์ขนมสาหร่ายเป็น “เจโชว” เพราะไม่มั่นใจในชื่อแบรนด์ของตัวเอง แต่คนที่ช่วยออกแบบบรรจุภัณฑ์ทักท้วงไว้ ชื่อเถ้าแก่น้อยจึงฮิตติดตลาดสแน็กสาหร่ายมาจนทุกวันนี้

ไวรัสคอมพิวเตอร์

"ไวรัส" เป็นตัวการสร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์ทั่วโลก แต่ละปีมีมูลค่าความเสียหายที่เกิดจาก "ไวรัส" นับเป็นจำนวนมหาศาล จนต้องมีการผลิตซอฟต์แวร์ต่อต้านออกมาเป็นทิวแถว แต่จะมีใครรู้บ้างว่า ใครเป็นผู้สร้างไวรัสคอมพิวเตอร์ให้ออกมาอาละวาดเป็นคนแรกของโลก

เมื่อ 25 ปีก่อน "ริชาร์ด สเครนต้า" หรือ "ริช" มีอายุเพียง 15 ปี เรียนอยู่เพียงชั้น ม.3 เขาเป็นผู้สร้างไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นคนแรกของโลก ด้วยความที่อยากแกล้งเพื่อน ไวรัส "เอลก์ โคลนเนอร์ (Elk Cloner)" จึงถือกำเนิดขึ้น

"สเครนต้า" ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทรับเขียนโปรแกรม "Topix" เล่าให้ฟังว่า สมัยนั้นเขาและเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเมาท์เลบานอนซีเนียร์ไฮสคูล ใกล้กับเมืองพิตสเบิร์ก สหรัฐอเมริกา ชอบแลกเกมและซอฟต์แวร์กัน เนื่องจากกฎหมายด้านซอฟต์แวร์ยังไม่เข้มงวด แต่เขาจะชอบเปลี่ยนข้อมูลในฟล็อปดิสก์ให้มีข้อความเยาะเย้ยเพื่อนๆ จนเพื่อนรู้แกวและไม่ชอบใจ หลายคนไม่ขอยืมดิสก์จากเขา

เมื่อความแค้นฝังอก เขาใช้เวลาปิดเทอมช่วงฤดูหนาวหาทางตอบโต้ ด้วยการใช้คอมพิวเตอร์ "แอปเปิ้ล II" ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่ฮิตมากในยุคนั้น สร้างไวรัสประเภทที่เรียกว่า "บูต เซ็กเตอร์ (boot sector)" ขึ้นมา

วิธีการแพร่เชื้อไวรัสประเภทบูต เซ็กเตอร์ คือ พอเริ่มเปิดเครื่องดิสก์ที่ติดเชื้อไวรัสจะเข้าไปแทนที่หน่วยความจำในคอมพิวเตอร์ เมื่อใดก็ตาม ที่มีผู้นำแผ่นดิสก์สะอาดใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์ และพิมพ์คำว่า "catalog" เพื่อหารายชื่อของไฟล์ ดิสก์ใหม่นั้นก็จะติดไวรัสและเมื่อนำดิสก์ไปให้กับผู้อื่น ไวรัสก็จะติดคอมพิวเตอร์ตัวอื่นๆ เป็นไฟลามทุ่ง จนผู้ใช้คอมพิวเตอร์บางคนที่ไม่เคยพบเคยเจอไวรัส นึกว่า มนุษย์ต่างดาวเข้ามาทำลายระบบคอมพิวเตอร์ เพราะ "เอลก์ โคลนเนอร์" ทำให้ภาพที่จอกลับหัว ตัวอักษรกะพริบ และขึ้นข้อความประหลาดซึ่งเป็นกลอนที่ "สเครนต้า" แต่งขึ้นมาเองว่า "It will get on all your disks; it will infiltrate your chips."

อย่างไรก็ตาม พิษของ "เอลก์ โคลนเนอร์" ไม่ร้ายแรงนักเทียบกับไวรัสนับแสนหรือเกินล้านตัวไปแล้วในปัจจุบัน เพราะทำให้เพื่อนเพียงแต่รำคาญ

จนปี 1986 มีไวรัสที่จ้องเล่นงานระบบของไมโครซอฟต์ขึ้นมา "เบรน (Brain)" เป็นไวรัสที่สร้างขึ้นโดยสองพี่น้องชาวปากีสถาน คือ อัมจัด และ บาสิต ฟารูก เพื่อต้องการลงโทษผู้ที่ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน "เบรน" ไม่ได้สร้างความเสียหายมาก เพียงแต่ขึ้นเบอร์โทรศัพท์ร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ของพวกเขาเท่านั้น

ปัจจุบัน ไวรัสแพร่โดยผ่านอีเมล์ เมื่อเปิดอีเมล์ออกอ่าน ไวรัสจะเข้าไปทำลายโปรแกรมรวมทั้งข้อมูลในคอมพิวเตอร์ และส่งอีเมล์บรรจุไวรัสไปยังอีเมลแอดเดรสของผู้อื่นโดยอัตโนมัติ อย่าง ไวรัส "เมลิสซา (Melissa)" เมื่อปี 1999 ไวรัส "เลิฟบั๊ก (Love Bug) เมื่อปี 2000 และ ไวรัส "โซบิ๊ก (SoBig) เมื่อปี 2003 นอกจากนี้ไวรัสยังแพร่ผ่านระบบเครือข่าย ซึ่งทำให้การแพร่กระจายรวดเร็วกว่าการเปิดอีเมล์เสียอีก และยังสามารถขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พาสเวิร์ด เพื่อทำอีเมล์ขยะส่งไปและยากที่จะหาต้นตอ ผู้ที่ชอบเข้าไปเว็บไซต์ลามกยังติดไวรัสได้อย่างง่ายๆ ด้วย

เดฟ มาร์คัส ผู้จัดการด้านวิจัยของบริษัท McAfee Inc. ผู้ผลิตซอฟต์แวร์กำจัด "มัลแวร์" หรือซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นโดยมีเจตนามุ่งร้ายต่อระบบคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ เช่น โทรจัน ฟิชชิ่ง สปายแวร์ กล่าวว่า เดี๋ยวนี้มีผู้สร้างมัลแวร์เพิ่มขึ้น วันหนึ่งมีมัลแวร์ใหม่ๆ ราว 150-175 ตัว ขณะที่ 5 ปีที่แล้ว พบมัลแวร์อาทิตย์ละประมาณ 100 ตัว อย่างไรก็ตาม การกำจัดมัลแวร์ไปจนถึงหนอนคอมพิวเตอร์ ไวรัส ได้สร้างรายได้ให้กับบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ต่อต้านถึงปีละ 38,000 ล้านเหรียญ หรือ 1.3 ล้านล้านบาท


10 วิธีเรียนหนังสือให้เก่ง



1.มีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งเรียนหนังสือที่บ้าน จำไว้ว่าสิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เรามีสมาธิในการเรียน
2.ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะอ่านแต่ละวิชา หรือทำการบ้านมากน้อยแค่ไหนและลงมือทำอย่างเต็มที่จนเสร็จ
3.บางวิชาที่ยากๆให้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ช่วยกันติว ช่วยกันเรียน ผลัดกันค้นคว้า ตั้งคำถาม จะช่วยให้เก่งกันยกกลุ่ม4.มีเวลาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกๆวัน วันละนิดวันละหน่อย ฝึกจนเป็นนิสัย อย่าตั้งใจเรียนหนังสือเป็นพักๆ
5.ฝึกทักษะการเรียนอยู่เสมอๆ เช่น ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น จดบันทึกเป็นระบบ จัดระเบียบความคิด และ สรุปเนื้อหาจะช่วยในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
6.นั่งใกล้ครูมากที่สุด จะได้ไม่มีอะไรมาดึง ความสนใจในการเรียนของเรา
7.ทำการบ้านหรือรายงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าทำเสร็จเร็วเท่าไร จะมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น
8.จัดลำดับความสำคัญของวิชาที่ต้องทำ เช่น วิชาไหนด่วนที่สุด หรือหัวข้อไหนไม่เข่าใจ ต้องเรียงลำดับไว้ และ ทำ ตามให้ได้
9.ทำความเข้าใจว่าครูผู้สอนแต่ละวิชามีการให้คะแนนอย่างไร คะแนนเก็บเท่าไร คะแนนสอบเท่าไร วางแผนทำคะแนนให้ดีในแต่ละส่วน
10.สำคัญที่สุดในการเรียน ก็คือมุ่งมั่นตั้งใจเรียนไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าตัวเราเองไม่อยากเรียนเก่ง เพราะฉะนั้นจำไว้ว่า Work Smart , Not Hard