วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เก็บไข่อย่างไรไห้สดเสมอ ?


เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่าง ๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรเก็บไข่โดยนำด้านแหลมลง เพราะการวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบไม่แตก ซึ่งจะทำให้สดนานขึ้น

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

ต้นกำเนิด "บาร์บี้" สาวน้อยพลาสติก


บุคคลที่เป็นผู้คิดค้นตุ๊กตา "บาร์บี้" มีชื่อว่า รูธ แฮนเลอร์ ประธานบริษัท "แมตเทล" ผู้จัดจำหน่ายของเล่นชื่อดังแห่งแดนลุงแซม เจ้าของลิขสิทธิ์ตุ๊กตาบาร์บา นั่นเอง

แฮนเลอร์ ได้รับแรงบันดาลใจที่จะประดิษฐ์ตุ๊กตาบาร์บี้ หลังจากเธอสังเกตเห็นว่า บาร์บารา ลูกสาวของเธอชอบเล่นตุ๊กตากระดาษที่มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เป็นเด็ก จึงทำให้เธอเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าอยากจะผลิตตุ๊กตาพลาสติกที่มีรูปโฉมเป็นผู้ใหญ่ออกวางขาย ทว่า ในตอนแรกคนรอบกายของเธอไม่เห็นด้วย

ต่อมา เมื่อแฮนเลอร์มีโอกาสได้เดินทางไปท่องเที่ยวในยุโรปในปี 1956 เธอก็ไปสะดุดตากับตุ๊กตา "ไบล์ด ลิลลี" ของเยอรมนี (ตุ๊กตารูปหญิงสาววัยทำงานที่วางจำหน่ายครั้งแรกในเยอรมนีปี 1955 โดยเป้าหมายทางการตลาดในตอนแรกต้องการเจาะกลุ่มผู้ใหญ่ แต่กลับได้รับความนิยมในหมู่เด็กๆ มากกว่า) ซึ่งวางขายอยู่ในร้านขายของของสวิตเซอร์แลนด์และได้ซื้อกลับบ้านมา 3 ตัว โดยที่ตัวหนึ่งในลูกสาวส่วนที่เหลือนำมาเป็นต้นแบบในการผลิตตุ๊กตาบาร์บี้

จากนั้น แฮนเลอร์ก็ได้ดัดแปลงเปลี่ยนโฉมตุ๊กตาลิลลีใหม่หมด พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า "บาร์บี้" ตามชื่อของลูกสาวเธอ ก่อนที่จะนำไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงานมหกรรมของเล่นของมหานครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1959 ซึ่งถือเป็นวันเกิดของบาร์บี้ด้วย

หากนับจนถึงบัดนี้ บาร์บี้สาวน้อยพลาสติกก็มีอายุได้ 48 ปีแล้ว ถ้าเป็นคนจริงๆ ก็เรียกว่าเป็นคุณแม่ได้เลย ทว่า ในโลกของตุ๊กตา บาร์บี้ก็ยังคงความน่ารัก สวยงามและทันสมัยอยู่เช่นเคย และยังคงเป็นที่นิยมของเด็กๆ ทั่วโลกได้ทุกยุคทุกสมัย

เรื่องราวของยาสีฟัน “ดาร์ลี” และ “ดาร์กี”


คนรุ่นใหม่อาจจำได้ไม่แน่ชัด แต่คนรุ่นเก่า (แต่ไม่แก่) คงคุ้นหูกับชื่อยาสีฟัน “ดาร์กี” (Darkie) ที่มีรูปโลโก้เป็นชายหน้าดำกำลังยิ้มเป็นอย่างดี สินค้าตัวนี้มีชื่อเป็นภาษาจีน แปลว่า “คนดำ”

“ดาร์กี” ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ดาร์ลี” (Darlie) หลังจากที่บริษัทฮอว์ลีย์แอนด์ฮาเซิลผู้ผลิตเดิมบนเกาะฮ่องกง ถูกบริษัทสินค้าอุปโภคยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ จากสหรัฐอเมริกา ซื้อกิจการไปเมื่อปี 1985

สาเหตุที่ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนชื่อนั้น มาจากการที่คอลเกต-ปาล์มโอลีฟถูกกดดันอย่างหนัก จากคนผิวสีและนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนที่เห็นว่าการตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ที่กล่าวถึงเชื้อชาติของคนนั้นเป็นการเหยียดผิว ว่ากันว่าผู้ที่จุดเพลิงให้กระแสความไม่พอใจกระพือขึ้นจนขยายวงกว้าง ก็คือบริษัทคู่แข่งยักษ์ใหญ่ซึ่งนำยาสีฟันสูตรใหม่ออกวางตลาดในเวลาเดียวกันกับดาร์กีนั่นเอง

เนื่องจากภาพลักษณ์มีผลกระทบอย่างมากต่อรายได้ คอลเกต-ปาล์มโอลีฟจึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อยาสีฟันเป็นดาร์ลี และปรับปรุงภาพโลโก้จากเดิมที่เป็นภาพชายผิวดำหน้าตาคล้าย อัล โจลสัน นักร้องนักแสดงชาวอเมริกันชื่อดังแห่งศตวรรษที่ 20 มาเป็นภาพผู้ชายที่ระบุไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นคนเชื้อชาติใด

บรรดาผู้วิพากษ์วิจารณ์ชาวตะวันตกรู้สึกพอใจกับการเปลี่ยนชื่อ และอ้างว่ายาสีฟันขายดีขึ้นหลังจากนั้น แต่ที่หลายๆ คนไม่รู้ก็คือ ชื่อภาษาจีนของยาสีฟันยี่ห้อนี้แปลว่า “ยาสีฟันคนดำ” ยังคงไม่เปลี่ยน โดยมีการออกโฆษณารณรงค์ว่า “ยาสีฟันคนดำยังคงเป็นยาสีฟันคนดำอยู่” เนื่องจากในภาษาจีนนั่นไม่ได้มีความหมายในทางดูถูกดูหมิ่นคนเชื้อสายแอฟริกันแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ปัจจุบันยาสีฟันยี่ห้อนี้ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหลายประเทศในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะที่ฮ่องกงและไต้หวัน

Hello Kitty



                               

  Hello Kitty เป็นตัวการ์ตูนลิขสิทธิ์ของบริษัทซานริโอ ประเทศญี่ปุ่น มีชื่อเล่นว่า "คิตตีจัง" ลักษณะเป็นลูกแมวเพศเมียสีขาว ติดโบว์สีแดงที่หูข้างซ้าย โดยนักออกแบบคนแรกที่เป็นผู้สร้างตัวเฮลโลคิตตี คือ ยูโกะ ชิมิซึ เมื่อ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 แต่หลังจากนั้นเพียง 1 ปี เธอได้ออกจากบริษัท และผู้ที่มารับหน้าที่ต่อก็คือ เซ็ตสึโกะ โยนิคุโบะ ซึ่งได้สานต่อเป็นเวลา 5 ปี ก่อนที่จะส่งมอบให้ ยูโกะ ยามางูชิ ซึ่งเป็นนักออกแบบให้กับ เฮลโลคิตตี้ มาจนถึงปัจจุบัน

ระยะเวลาทำให้ความโด่งดังของเฮลโลคิตตี้ไปทั่วโลก และกลายมาเป็นตราสัญลักษณ์ของสินค้านานาชนิดมากมาย จนกระทั่งเกิดตัวการ์ตูนเฮลโลคิตตีที่มีชีวิตจิตใจ และประวัติส่วนตัว การ์ตูนเรื่องแรกคือ Hello Kitty's Furry Tale Theater ออกอากาศเมื่อปี ค.ศ. 1987 ก่อนที่ผู้ผลิตการ์ตูนโทรทัศน์ชาวอเมริกันจะสร้างการ์ตูน  Hello Kitty and Friends ออกอากาศทางช่องซีบีเอส ในปี ค.ศ. 1991 จากนั้นทางญี่ปุ่นก็ได้สร้าง  Hello Kitty's Paradise ที่มีความยาว 16 ตอนออกอากาศระหว่างปี ค.ศ. 1993-1994 และมีการนำไปแปลงเป็นภาคภาษาอังกฤษ และออกอากาศในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2002

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ต้นกำเนิดของชุดชั้นในสตรี

                                         

จุดเริ่มต้นของ ชุดชั้นใน ( Underwear )  ที่เป็นต้นกำเนิดให้เราใช้กันในปัจจุบันนี้
เริ่มต้นมาจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ Mary Phelps Jacob ( แมรี่ เฟลพ์ จาคอบ ) ซึ่งการออกแบบ บราเซียร์ ของเธอในยุคนั้น เกิดมาจากการที่เธอต้องสวมใส่เสื้อคลุมตัวยาวๆ เพื่อที่จะต้องไปออกงานสังคมที่เป็นสังคมชั้นสูง แต่ชุดชั้นในหรือบราในยุคตอนนั้น 
จะเป็นเพียงแค่ชุด คอร์เซต ซึ่งในยุคนั้นตัวชุดทำมาจากกระดูกของปลาวาฬ ซึ่งพอเธอสวมใส่แล้ว เจ้าโครงที่เป็นกระดูกของปลาวาฬนี่ ก็โผล่ออกมาจากเสื้อคลุมของเธอ วิธีแก้ปัญหาตอนนั้นของเธอ เธอก็เลยใช้ริบบิ้นสีชมพู นำมาทำเป็นสายพาดไปกับไหล่แล้วนำมาผูกเข้าด้วยกันกับผ้าเช็ดหน้าเสร็จแล้วก็ใช้ประคองกับหน้าอกของเธอ แทนชุด คอร์เซตกระดูกปลาวาฬแบบเก่าที่เธอใส่  ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าริ้บบิ้นที่เธอเอามาผูกกับผ้าเช็ดหน้า จะทำให้เธอดูโดดเด่นและเป็นที่ชื่นชมของผู้คนในงานสังคมที่เธอไปร่วมงาน ซึ่งหลังจากนั้นต่อมาไม่นาน บราหรือชุดชั้นใน ที่ Mary Phelps Jacob ( แมรี่ เฟลพ์ จาคอบ ) ทำมาจากผ้าเช็ดหน้าและสายริบบิ้นก็กลายเป็นที่ยอมรับและกล่าวขานในวงการแฟชั่นในยุคนั้น
     แมรี่เองเรียกเสื้อชั้นในที่เธอเป็นผู้ค้นคิดขึ้นมา ว่า บราเซียร์ (Brassiere) ซึ่งมาจากภาษาฝรั่งเศส และแมรี่ก็ได้มีการจดลิขสิทธิ์ของชุดชั้นในเป็นครั้งแรกในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ.1914 หรือ วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2457 ซึ่งต่อมามีการพัฒนาการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสู่ยุคปัจจุบัน


วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำไมผู้ชายถึงชอบมองผู้หญิง ?

นิสัยจ้องมองผู้หญิงฝังในเส้นเลือดของผู้ชายนั้น เพราะว่า
เทสโทสเตอโรน (testosterone) มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับความก้าวร้าว และความมุ่งร้าย แต่ขณะเดียวฮอร์โมนเพศชายนี้ ยังเป็นฮอร์โมนความใคร่ด้วย ซึ่ง ปรันจาล เมห์ตา (Pranjal Mehta) นักจิตวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ กล่าวว่า ผู้ชายมีฮอร์โมนชนิดนี้พลุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดมากกว่าผู้หญิงถึง 6 เท่า เมห์ตาและคณะ ยังพบด้วยว่า เทสโทสเตอโรนนี้ทำให้ส่วนควบคุมคลื่นสั้นในสมองทำงาน แย่ลง แม้จะยังไม่มีการศึกษาอย่างแน่ชัดแต่เหตุนี้อาจใช้อธิบายลักษณะที่ ดร.บริเซนไดน์ เรียกว่า ผู้ชายชอบจ้องมองผู้หญิง ราวกับเปิดเครื่องชี้ทางอัตโนมัติ และผู้ชายมักจะลืมว่าบางครั้งผู้หญิงที่พวกเขามองนั้นอยู่นอกกรอบสายตาของพวกเขา

ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน!! ?


 เคยนึกไหมว่า ไก่กับไขอะไรเกิดก่อนกัน พอคิดไปคิดมาก็ได้คำตอบวนๆ ถ้าไก่ไม่เกิดก่อนก็จะไม่มีไข่ แต่ถ้าไม่มีไข่ไก่ก็จะเกิดมาไม่ได้ แต่วันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้คำตอบนั้นแล้ว
Dr. Colin Freeman จาก Sheffield University ได้ทำการวิจัยอย่างหนักกับนักศึกษา Warwick University เพื่อหาคำตอบผลปรากฎว่า

"นานแล้วที่เราคาดว่าไข่น่าจะมาก่อนไก่แต่บัดนี้เราได้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อล้วว่าไก่นั้นมาก่อน" เขากล่าว
ข้อพิสูจน์นี้พิสูจน์ได้จากสารโปรตีนชนิดหนึ่งนั้นคือ Ovocledidin-17 (OC-17) ที่พบได้ในรังไขของไก่ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบการผลิตเปลือกของไข่นั้นเอง
OC-17 จะเปลี่ยนแคลเซียมคาร์บอนเน็ตให้เป็นแคลไซต์คริสตอล ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นไข่ในภายหลัง ซึ่งหากไม่มี OC-17 ก็จะไม่มีไข่ ซึ่ง OC-17 จะมาจากรังไข่ของไก่เท่านั้น แปลว่า ไก่ต้องเกิดก่อนไข่