วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ต้นกำเนิดของชุดชั้นในสตรี

                                         

จุดเริ่มต้นของ ชุดชั้นใน ( Underwear )  ที่เป็นต้นกำเนิดให้เราใช้กันในปัจจุบันนี้
เริ่มต้นมาจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ Mary Phelps Jacob ( แมรี่ เฟลพ์ จาคอบ ) ซึ่งการออกแบบ บราเซียร์ ของเธอในยุคนั้น เกิดมาจากการที่เธอต้องสวมใส่เสื้อคลุมตัวยาวๆ เพื่อที่จะต้องไปออกงานสังคมที่เป็นสังคมชั้นสูง แต่ชุดชั้นในหรือบราในยุคตอนนั้น 
จะเป็นเพียงแค่ชุด คอร์เซต ซึ่งในยุคนั้นตัวชุดทำมาจากกระดูกของปลาวาฬ ซึ่งพอเธอสวมใส่แล้ว เจ้าโครงที่เป็นกระดูกของปลาวาฬนี่ ก็โผล่ออกมาจากเสื้อคลุมของเธอ วิธีแก้ปัญหาตอนนั้นของเธอ เธอก็เลยใช้ริบบิ้นสีชมพู นำมาทำเป็นสายพาดไปกับไหล่แล้วนำมาผูกเข้าด้วยกันกับผ้าเช็ดหน้าเสร็จแล้วก็ใช้ประคองกับหน้าอกของเธอ แทนชุด คอร์เซตกระดูกปลาวาฬแบบเก่าที่เธอใส่  ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าริ้บบิ้นที่เธอเอามาผูกกับผ้าเช็ดหน้า จะทำให้เธอดูโดดเด่นและเป็นที่ชื่นชมของผู้คนในงานสังคมที่เธอไปร่วมงาน ซึ่งหลังจากนั้นต่อมาไม่นาน บราหรือชุดชั้นใน ที่ Mary Phelps Jacob ( แมรี่ เฟลพ์ จาคอบ ) ทำมาจากผ้าเช็ดหน้าและสายริบบิ้นก็กลายเป็นที่ยอมรับและกล่าวขานในวงการแฟชั่นในยุคนั้น
     แมรี่เองเรียกเสื้อชั้นในที่เธอเป็นผู้ค้นคิดขึ้นมา ว่า บราเซียร์ (Brassiere) ซึ่งมาจากภาษาฝรั่งเศส และแมรี่ก็ได้มีการจดลิขสิทธิ์ของชุดชั้นในเป็นครั้งแรกในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ.1914 หรือ วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2457 ซึ่งต่อมามีการพัฒนาการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสู่ยุคปัจจุบัน


วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำไมผู้ชายถึงชอบมองผู้หญิง ?

นิสัยจ้องมองผู้หญิงฝังในเส้นเลือดของผู้ชายนั้น เพราะว่า
เทสโทสเตอโรน (testosterone) มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับความก้าวร้าว และความมุ่งร้าย แต่ขณะเดียวฮอร์โมนเพศชายนี้ ยังเป็นฮอร์โมนความใคร่ด้วย ซึ่ง ปรันจาล เมห์ตา (Pranjal Mehta) นักจิตวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ กล่าวว่า ผู้ชายมีฮอร์โมนชนิดนี้พลุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดมากกว่าผู้หญิงถึง 6 เท่า เมห์ตาและคณะ ยังพบด้วยว่า เทสโทสเตอโรนนี้ทำให้ส่วนควบคุมคลื่นสั้นในสมองทำงาน แย่ลง แม้จะยังไม่มีการศึกษาอย่างแน่ชัดแต่เหตุนี้อาจใช้อธิบายลักษณะที่ ดร.บริเซนไดน์ เรียกว่า ผู้ชายชอบจ้องมองผู้หญิง ราวกับเปิดเครื่องชี้ทางอัตโนมัติ และผู้ชายมักจะลืมว่าบางครั้งผู้หญิงที่พวกเขามองนั้นอยู่นอกกรอบสายตาของพวกเขา

ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน!! ?


 เคยนึกไหมว่า ไก่กับไขอะไรเกิดก่อนกัน พอคิดไปคิดมาก็ได้คำตอบวนๆ ถ้าไก่ไม่เกิดก่อนก็จะไม่มีไข่ แต่ถ้าไม่มีไข่ไก่ก็จะเกิดมาไม่ได้ แต่วันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้คำตอบนั้นแล้ว
Dr. Colin Freeman จาก Sheffield University ได้ทำการวิจัยอย่างหนักกับนักศึกษา Warwick University เพื่อหาคำตอบผลปรากฎว่า

"นานแล้วที่เราคาดว่าไข่น่าจะมาก่อนไก่แต่บัดนี้เราได้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อล้วว่าไก่นั้นมาก่อน" เขากล่าว
ข้อพิสูจน์นี้พิสูจน์ได้จากสารโปรตีนชนิดหนึ่งนั้นคือ Ovocledidin-17 (OC-17) ที่พบได้ในรังไขของไก่ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบการผลิตเปลือกของไข่นั้นเอง
OC-17 จะเปลี่ยนแคลเซียมคาร์บอนเน็ตให้เป็นแคลไซต์คริสตอล ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นไข่ในภายหลัง ซึ่งหากไม่มี OC-17 ก็จะไม่มีไข่ ซึ่ง OC-17 จะมาจากรังไข่ของไก่เท่านั้น แปลว่า ไก่ต้องเกิดก่อนไข่

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความจำของปลาทอง

                                       

ผลการศึกษาหลายชิ้นระบุตรงกันว่า ปลาทองมีความสามารถในการเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์มากพอๆ กับทักษะการเรียนรู้ด้านสังคม นอกจากนี้ พวกมันยังมีสายตาอันแหลมคมพอที่จะแยกแยะผู้คนที่มีลักษณะแตกต่างกันได้ด้วย

หนึ่งในความสามารถในการเรียนรู้ของปลาทอง ก็คือ ความสามารถในการเรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าของ รวมถึงคนอื่นๆ ด้วยอาหาร กล่าวคือ เวลาพวกมันเห็นเจ้าของ หรือใครก็ตามที่ให้อาหารเป็นประจำเดินผ่านไปผ่านมาบริเวณตู้ปลา พวกมันจะว่ายวนไปวนมาเพื่อขออาหารเสมอๆ

นอกจากนี้ ปลาทองยังมีการแสดงออกด้านพฤติกรรมในการจัดลำดับทางสังคมด้วย ตัวอย่างเช่น หากมีสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ในตู้เดียวกัน พวกมันมักจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวด้วยการไล่ล่า หรือตอดครีบของปลาน้องใหม่อยู่ราว 2-3 วัน ก่อนที่จะกลับสู่ภาวะปกติ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า พวกมันจำได้ว่าใครเป็นเด็กใหม่ใครเป็นเด็กเก่า แล้วอย่างนี้จะว่าปลาทองความจำสั้นได้อย่างไรกัน

สำหรับการเปรียบคนขี้ลืมกับปลาทองนั้นไม่ทราบว่ามีต้นกำเนิดจากที่ใด แต่สำนวนนี้ไม่ใช่แต่คนไทยเท่านั้นที่นำมาใช้ ทว่า พวกฝรั่งตาน้ำข้าวก็ใช้กันอย่างแพร่หลายด้วยเช่นกัน เป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้คนเราอาจจะคิดว่าพวกปลาทองที่ว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ คงจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยว่ายมาที่แห่งนี้แล้วเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา!!?

ทำไมวันเกิดต้องมีเค้ก ??





ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อาหารเชื่อว่าเค้กวันเกิดมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว เนื่องจากคนสมัยก่อนชอบทำขนมอบจำพวกขนมเค้กและขนมปังเพื่อใช้บูชาในงานพิธีกรรมทางศาสนา งานแต่งงาน งานศพ รวมถึงงานวันเกิดด้วย
ในสมัยกรีกมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตำนานเค้กวันเกิดระบุเอาไว้ว่าเป็นขนมหวานสำหรับบูชาเทพีจันทรา โดยชาวเมืองกรีกนิยมทำเค้กน้ำผึ้งหรือขนมปังหวานรูปวงกลมเพื่อนำไปบูชาเทพีจันทราที่วิหารอาร์เทอมิส ขณะที่นักทฤษฎีบางสำนักเชื่อว่า จุดเริ่มต้นของเค้กวันเกิดมีขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมนีช่วงยุคกลาง ซึ่งเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของศาสนาคริสต์โดยชาวคริสต์จะทำขนมปังหวานเป็นรูปพระเยซูทรงอยู่ในผ้าห่อตัวในประสูติเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ที่ระลึกในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์

ในเวลาต่อมา ชาวเมืองเบียร์ก็เลยได้ไอเดียใหม่ ทำเค้กเพื่อฉลองวันเกิดให้แก่เด็ก ๆและจากนั้นมา ธรรมเนียมเช่นนี้ก็ถูกปฏิบัติสืบทอดต่อ ๆ กันมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ทั้งนี้ ไม่ว่าเค้กวันเกิดจะเกิดขึ้นจากทฤษฎีใดก็ตาม จะสังเกตได้ว่าจุดเริ่มต้นก็ล้วนมาจากทางฝั่งยุโรปทั้งสิ้น ดังนั้น จึงอาจจะสรุปได้ว่าธรรมเนียมการเป่าเค้กวันเกิดเริ่มต้นจากฝั่งตะวันตก

catwalk



'catwalk' ที่ใช้เรียกกันในวงการวงการแฟชั่นนั้น หมายถึง ส่วนของเวทีที่ยื่นออกมาด้านหน้า เป็นทางเดินแคบๆ ซึ่งมีไว้สำหรับให้เหล่านางแบบและนายแบบเดินออกมาโชว์ตัวเพื่ออวดเครื่องแต่งกายที่สวมใสให้ผู้ชมให้เห็นเด่นชัด

ทำไมจึงเรียกพื้นที่ส่วนนี้ว่า 'catwalk' คำตอบก็คือ เพราะว่าบริเวณดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับทางเดินแคบๆ บริเวณสันกำแพง ขอบรั้ว หรือราวสะพานต่างๆ ที่มักจะพบเห็นบรรดาเจ้าเหมียวทั้งหลายเดินเหินกันแบบไร้ซึ่งความกลัวว่าจะตกหล่นลงมาแม้แต่น้อย และในบริเวณที่ว่านี้ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีสิ่งมีชีวิตชนิดใดชอบขึ้นไปเดินเหมือนอย่างแมว

เช่นเดียวกัน บนพื้นเวทีแคบๆ ของงานแฟชันโชว์ทั้งหลาย เหล่านางแบบและนายแบบจำเป็นต้องเดินด้วยความมั่นใจเหมือนกับที่เจ้าเหมียวเดินบนขอบกำแพง ด้วยเหตุนี้ จึงมีการเปรียบเปรยทางเดินแคบๆ บนเวทีแฟนชั่นโชว์ว่าเป็น 'catwalk' หรือ ทางเดินของแมว นั่นเอง

ทั้งนี้ คำว่า 'catwalk' ถูกอ้างถึงครั้งแรกในพจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับอ็อกซ์ฟอร์ดตั้งแต่ปี 1885 ก่อนที่จะมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการแฟชั่นโชว์ทั่วโลก






วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทางม้าลาย



สัญลักษณ์ของทางลายขาว-ดำ ที่มีไว้สำหรับให้คนข้ามถนน หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า 'ทางม้าลาย' นั้นแท้จริงแล้วในตอนแรกหาได้เป็นสีขาวกับสีดำอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันไม่


เดิมทีแถบสีสัญลักษณ์ของทางคนข้ามนี้เคยเป็นสีน้ำเงินและสีเหลืองมาก่อน โดยมีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรก (หลังทำการทอดลองใช้แล้ว) ตามท้องถนนของประเทศอังกฤษราว 1,000 จุด เมื่อปี 1949 เพื่อบ่งบอกให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทราบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นทางที่อนุญาตให้คนสามารถข้ามถนนได้


แต่ก่อนนั้น สัญลักษณ์ของทางข้ามนี้จะอยู่คู่กับ 'เสาโคมไฟสัญญาณบีลิสชา' ซึ่งถือกำเนิดมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ปี 1934 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสัญญาณให้พาหนะที่สัญจรอยู่บนท้องถนนหยุดวิ่งชั่วขณะเพื่อให้คนที่อยู่สองข้างทางได้เดินข้ามถนนอย่างปลอดภัย โดยพาหนะต่างๆ จะหยุดก็ต่อเมื่อโคมไฟสัญญาณบีลิสชาซึ่งมีสีส้มส่องสว่างขึ้น


ต่อมา เลสลี ฮอร์น บีลิสชา รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมแดนผู้ดี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มไอเดียนำโคมไฟสัญญาณดังกล่าวมาติดตั้งก็คิดว่าน่าจะมีการเพิ่มสัญลักษณ์ที่เป็นแถบสีบนพื้นถนนบริเวณที่มีการติดตั้งโคมไฟสัญญาณเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเห็นได้เด่นชัดมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สัญลักษณ์ของทางข้ามที่มีแถบสีจึงถือกำเนิดขึ้น


จากนั้นก็มีการทดลองใช้สีขาว-แดง และสีขาว-ดำ ทาเป็นสัญลักษณ์ แล้วในปี 1951 สัญลักษณ์ของทางข้ามที่เป็นแถบสีขาว-ดำก็ถูกนำมาใช้คู่กับโคมไฟสัญญาณบีลิสชาอย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมกับได้รับการขนานนามว่า 'ทางม้าลาย' เนื่องจากมีลักษณะเหมือนลายของม้าลายนั่นเอง


ต่อมาอังกฤษได้นำไอเดียดังกล่าวไปใช้กับประเทศอาณานิคมของตัวเอง เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น ทางม้าลายจึงกลายเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก และกลายเป็นเครื่องหมายจราจรที่เป็นสากลไปโดยปริยาย

กำเนิดคาราโอะเกะ !!




ในภาษาญี่ปุ่นนั้น "คารา" [Kara] แปลว่า ว่างเปล่า ส่วน "โอเกะ" [oke] แปลว่า ออเครสตรา ซึ่งในภาษาอังกฤษแปลว่า ดนตรี เมื่อนำทั้ง 2 คำมาผสมกัน คาราโอเกะ จึงหมายถึง ดนตรีที่ปราศจากเสียงร้อง

ต้นกำเนิดคาราโอเกะนั้น เกิดขึ้นหลังจากช่วงที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ซึ่งสภาพสังคมของชาวอาทิตย์อุทัยในสมัยนั้นค่อนข้างเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด กดดันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง จึงมีผู้พยายามคิดหาวิธีการบรรเทาความเครียดในหลายรูปแบบ และหนึ่งในนั้นก็คือ การร้องเพลงแบบคาราโอเกะนี่เอง

คาราโอเกะถือกำเนิดขึ้นที่เมืองโกเบ ราวทศวรรษที่ 1970 จากความคิดของเจ้าของร้านเหล้าแห่งหนึ่งที่กำลังประสบปัญหาขาดนักร้องและวงดนตรีที่เคยเล่นประจำที่ร้าน เขาจึงนำเทปเพลงที่มีดนตรีเพียงอย่างเดียวมาเปิดให้ลูกค้าในร้านได้ผลัดเปลี่ยนกันร้อง จนกลายมาเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมในหมู่นักธุรกิจทั่วไป

เหตุผลที่ทำให้คาราโอเกะเป็นที่นิยมชมชอบของคนหมู่มากน่าจะเป็นเพราะการร้องเพลงคาราโอเกะแตกต่างจากการร้องเพลงทั่วไป กล่าวคือ ผู้ร้องสามารถควบคุมการร้องได้ด้วยตนเอง สามารถเลือกเพลงเองได้ และยังช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ในหมู่เพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหายได้ด้วย

อ่าวฮาลอง (Halong Bay)



อ่าวฮาลอง (Vịnh Hạ Long) หรือ ฮาลอง เบย์ (Halong Bay) เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ชื่อในภาษาเวียดนาม หมายถึง "อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง"

อ่าวฮาลองมีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะ โผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล บนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว 2 เกาะ คือ เกาะกัดบา และเกาะ Tuan Chau ทั้งสองเกาะนี้มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร มีโรงแรมและชายหาดจำนวนมากคอยให้บริการนักท่องเที่ยว บางเกาะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมง และบางเกาะยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ป่า ละมั่ง ลิง และกิ้งก่าหลายชนิด เกาะเหล่านี้มักจะได้รับการตั้งชื่อจากรูปร่างลักษณะที่แปลกตา เช่น เกาะช้าง (Voi Islet) เกาะไก่ชน (Ga Choi Islet) เกาะหลังคา (Mai Nha Islet) เป็นต้น

อ่าวฮาลองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2537






















ประโยชน์ของฝรั่ง



ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินซี และวิตามินเอ ซึ่งมีมากกว่ามะนาวถึง 4 เท่า ทำให้ฝรั่งมีคุณค่าในการสร้างความต้านทานโรคหวัดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการแนะนำให้รับประทานฝรั่งเพื่อลดความอ้วนเพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีความกรอบ เคี้ยวเพลิน และไม่เพิ่มน้ำหนัก
คุณค่าทางอาหารประกอบด้วย วิตามินเอ,วิตามินซี, B1,B2,แคลเซียม,ฟอสฟอรัส,นอกจากนี้ยังมีสารพวกเพคตินและแทนนิน (TANNIN) จำนวนมากด้วย
สำหรับคุณประโยชน์ทางอาหารสรุปได้ดังนี้
วิตามินซีและวิตามินเอ ช่วยให้มีความต้านทานต่อโรคหวัดเพิ่มขึ้น บำรุงเหงือกและฟัน , ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
สารเพคติน (PECTIN) เป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้ท้องผูกได้ดี
สารแทนนิน (TANNIN) มีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมาน สามารถบรรเทาอาการท้องร่วงและห้ามเลือดได้ ช่วยสมานแผลและบรรเทาอาหารเจ็บคอ นอกจากนี้ยังช่วยระงับกลิ่นปากและรักษาแผลเรื้อรังเช่น น้ำกัดเท้า และผื่นคันจากผิวหนังที่ถูกใบไม้คันได้ด้วย

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

อันตรายของแฟชั่นยุคโบราณ !! O_o




เดอะ คอร์ซิท (The Corset) เป็นเสื้อรัดลำตัวสตรี,เสื้อยกทรงรัดรูปของสตรี และชุดชั้นในผู้หญิงที่สวมเพื่อให้สะโพกและหน้าอกเข้ารูปทรง นิยมในช่วงทศวรรษที่ 1830-1839 สมัยวิกตอเรียนที่ตั้งกฎเกณฑ์ศิลธรรมให้ผู้หญิงต้องใส่ ไม่ใส่ถือว่าผู้หญิงคนนั้นสกปรก ต่ำต้อย ไม่มีมารยาทและไม่มีศิลธรรม และสมัยศตวรรษที่ 19นิยมให้สตรีมีเอวคอดกิ่ว อกตั้ง ทำให้เสื้อนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว



ทำไมมันถึงน่ากลัว? เนื่องจากการใส่คอร์ซิทต้องรัดแน่นมากๆ แน่นจนทำให้กระดูกผิดรูป หรือเราเรียกว่าเอวคอด ซี่โครงจะเจ็บปวดชา อวัยวะเครื่องในจะถูกเคลื่อนย้ายลงต่ำมาถึงก้น ทั้งเป็นสาเหตุให้การไหลของเลือดภายในผิดปกติ ใน1903 มีผู้หญิงที่ตายทันทีเพราะเสื้อรัดลำตัวสตรีที่เป็นเหล็กกระแทกหัวใจของเธอ แต่กระนั้นแฟชั่นนี้ก็ถูกดัดแปลงให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบันมาเป็นชุดชั้นในสุดเซ็กซี่ออกศึกที่นิยมของสาวๆ ทั้งหลาย





ฟุตบาดดิ้ง (Foot binding) เป็นการพันเท้าผู้หญิงให้เป็นรูปดอกบัว เป็นประเพณีปฏิบัติของผู้หญิงจีนโบราณ ซึ่งเป็นที่นิยมในจีนสมัยศตวรรษที่ 8 โดยมันเริ่มมาจากสมัยก่อนจักรพรรดิ์มีเมียหลายคน แต่ไม่ค่อยมีเวลาเอาใจใส่กับเมียน้อยเหล่านี้มากนัก ทำให้หลายนางแอบไปมีชู้ จักรพรรดิจึงใช้วิธีป้องกันโดยการรัดเท้าเพื่อให้พวกเธอเดินเหินไม่สะดวก ซึ่งต่อมากลายเป็นค่านิยมที่ผู้หญิงในวังต้องวัดเท้า ชาวบ้านก็นึกว่าเป็นแฟชั่นของไฮโซเลยทำตามบ้าง จึงกลายเป็นค่านิยมของจีนในที่สุด โดยเกิดวลีว่า “ผู้หญิงที่เท้าเล็ก ยิ่งเซ็กซี่”



ทำไมมันถึงน่ากลัว? กระบวนการพันเท้านั้นจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เด็กอายุ 5-6 ขวบ โดยคนเป็นแม่จะใช้วิธี หักนิ้วน้อย ๆ สี่นิ้วแล้วงอย้อนกลับไปทางด้านหลัง แล้วก็เอาผ้ามาพันเอาไว้ โดยจะพันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนได้เท้าที่เล็กตามต้องการ(บางตำราก็เขียนว่าให้เอาเท้าแช่ปัสสาวะและกระเพาะแพะ) นอกจากนี้ผู้ที่ทำการพันเท้า กล้ามเนื้อตั้งแต่บริเวณสะโพกลงไปจะต้องเกร็งมากในการเดินแต่ละครั้ง เมื่อเยื้องย่างด้วยท่าอ้อนแอ้นแลดูสวยงาม จะเกิดความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวเข็มพันเล่มกระหน่ำแทงพวกเธอราวกับขุนนรกโลกันต์ เท้าที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา กลิ่นจะเหม็นมากๆ จนเป็นแผลเน่า และเลวร้ายที่สุดคือเธอไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้สะดวกเกิดมีไฟไหม้บ้าน โจรมาข่มขืนละก็คงแล้วแต่ดวงแหละเพราะหนีไม่ได้...เหอๆ




คริโนไลน์(crinoline) เป็นกระโปรงที่สวมแบบสุ่ม (เพื่อให้กระโปรงบานออก) เป็นชุดที่มีกระโปรงบานๆ บานมากบานจนเหมือนสุ่มไก่บ้านเราโดยเขาจะทำเป็นโครงให้มันบานใหญ่ โดยโครงทำมาจากมันทำจากขนม้า, เส้นป่าน หรือเหล็ก ซึ่งมันได้รับความนิยมในหมู่คนชั้นสูงในศตวรรษที่ 19

ทำไมมันถึงน่ากลัว? การออกแบบคริโนไลน์ของมันตอบสนองได้ดีทีเดียวเลยแหละเมื่อมีลมแรงๆ มาพัดอย่างกะทันหัน กระโปรงบานๆ ของเจ้าหล่อนจะถูกพัดเหมือนกับร่ม(กาง)ที่ปลิวของลมนั้นแหละ มีหลายรายถูกลมพัดดันให้ตกจากที่สูง(ที่ออกงานของพวกเธออยู่ที่สูงๆ ทั้งสิ้นนี้) และบางรายเพราะหายใจไม่ออกเพราะลมพัดแรงจนโครงเหล็กรัดตัวเธอจนกระดูกหัก บางรายกระโปรงเกิดไปเกี่ยวกับรถม้าและลากผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องกรี๊ดตามท้องถนน แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือกระโปรงนี้ติดไฟง่ายสุดๆ และเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ตายเพราะกระโปรงตัวนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1863 ในSantiago ประเทศซิลี ในอเมริกาใต้ มีคนตายกว่า 2000 - 3000 คน ในขณะไฟไหม้โบสถ์ เมื่อไฟผ้าคลุมหน้าต่างโบสถ์เกิดติดไฟ ผู้คนต่างพยายามหนีตายหาทางออกจากประตู แต่เจ้ากรรม ด้วยความกว้างของกระโปรงบานของเจ้าหล่อนดันไปขว้างติดประตูซะนี้(กระโปรงดันใหญ่กว่าประตู)) แถมเอาออกยากซะด้วยสิเพราะมันทำจากโครงเหล็กนี้น่า ซึ่งมันทำให้ทางออกถูกปิดโดยสิ้นเชิง ที่นี้ก็ลองคิดละกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...ก็ตายยกหมู่สิ












หลับไม่สนิทบ่อยๆเสี่ยงเป็นเบาหวาน !!

ระบุนอนพอแต่หลับไม่สนิทส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

สำนักข่าวบีบีซีรายงานวานนี้ว่าผลการวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกาชิ้นล่าสุดแสดงให้เห็นถึงผลของคุณภาพในการนอนหลับต่อการเป็นโรคเบาหวาน ทั้งนี้ระบุว่าคนที่นอนหลับไม่สนิทดีหรือหลับไม่ลึกมักมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานที่สูงกว่าปกติ
โดยนักวิจัยได้ทำการทดลองโดยจำลองการหลับไม่สนิทด้วยการทำให้อาสาสมัครที่เข้าร่วมการวิจัยได้รับการกระตุ้นเมื่อพวกเขากำลังจะเข้าสู่ภาวะหลับลึกหรือหลับสนิทและผลการทดลองที่ได้พบว่าเมื่อหลับไม่สนิทแล้วร่างกายของอาสาสมัครจะเกิดการต่อต้านสารอินซูลิน
ความผิดปกติที่นักวิจัยพบนี้มีผลทำให้ร่างกายเกิดไม่รู้จักสัญญาณของสารอินซูลินขึ้นมาและนำไปสู่การมีระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้น มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและในที่สุดก็กลายไปเป็นโรคเบาหวานชนิด 2 โดยผลการวิจัยที่ค้นพบล่าสุดนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารของสถาบันวิชาการด้านวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐฯ The Proceedings of the National Academy of Science.
ก่อนหน้านี้มีการวิจัยหลายอันที่ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันระหว่างโรคเบาหวานและการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ทั้งยังเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าการนอนหลับลึกหรือหลับสนิท หรือที่เรียกกันว่าการหลับแบบคลื่นต่ำ (slow-wave sleep)นั้นมีผลเกี่ยวข้องกันกับกระบวนการเผาพลาญพลังงานของร่างกาย
และสำหรับในการวิจัยล่าสุดนี้นักวิจัยได้ทดสอบผลกระทบของคุณภาพการนอนหลับต่อการควบคุมกลูโคสในเลือดด้วยการให้อาสาสมัครชายหญิงที่มีร่างกายแข็งแรงดีมานอนเพื่อให้นักวิจัยสังเกตดูว่ารูปแบบการนอนปกติของคนเหล่านี้เป็นอย่างไรเป็นเวลาติดต่อกัน 2 คืน
และหลังจากนั้นเป็นเวลา 3 คืนติดกันนักวิจัยได้ให้ทีมงานรบกวนอาสาสมัครร่วมวิจัยการนอนหลับด้วยการก่อเสียงดังในช่วงที่อาสาสมัครกำลังเริ่มต้นเข้าสู่การนอนหลับลึกซึ่งสามารถสังเกตได้จากการเคลื่อนไหวของคลื่นสมองที่เริ่มมีลักษณะยาวขึ้นและเคลื่อนไหวในแนวต่ำลง
ทั้งนี้นักวิจัยระบุว่าการรบกวนการนอนของอาสาสมัครนี้จะไม่กระทบต่อปริมาณการนอนของพวกเขา กล่าวคือปริมาณการนอนโดยรวมแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบการนอนปกติของอาสาสมัครเหล่านี้เลย
และเมื่อนักวิจัยทดสอบต่อไปด้วยการฉีดกลูโคสให้อาสาสมัครและตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และการตอนสนองของสารอินซูลินในเวลากลางวันแล้วพบว่าอาสาสมัครจำนวน 8 คนมีอาการที่ร่างกายรู้สึกช้าต่ออินซูลิน
ดร.เออร์ซ่า ทาซาลิ จากมหาวิทยาลัยแห่งชิคาโก กล่าวว่าปัจจุบันพบว่าอัตราการเป็นโรคเบาชนิด 2 ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในที่จะต้องทราบปัจจัยที่มีผลต่อการกระตุ้นความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ โดยเบาหวานชนิด 2 นี้โดยปกติแล้วเป็นโรคที่มักพบในประชากรที่มีอายุและ คนที่เป็นโรคอ้วน

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

หายใจบรรเทาความเครียด



ขั้นนตอนง่ายๆ นี้ช่วยบรรเทาอาการเครียดเหมื่อยล้าความกังวล และอารมณ์หงุดหงิด

ขั้นที่ 1 รับรู้การหายใจของตนเอง

ยืนหรืทอหาที่นั่งสบายๆ หายใจตามปกติ แล้วลองสังเกตว่า

- คุณหายใจทางปากหรือไม่

- คุณหายใจลึกไหม

- คุณงอตัวเวลาหายใจไหม

ประเมินตนเองแล้วทำตามขั้นตอนต่อไป

ขั้นที่ 2 ฝึกหายใจด้วยท้อง

วางมือข้างหนึ่งบนท้องน้อย อีกช้างตรงอก หายใจ เข้า-ออกทางจมูก ระหว่างนั้น สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของมือ มือที่ว่างตรงหน้าอกไม่ควรขยับมาก ส่วนมือที่วางตรงท้องน้อยควรขยับขึ้นและลง

ขั้นที่ 3 หายใจอย่างผ่อนคลาย

นั่งสบายๆ (ไม่งอตัว) หรือนอนลง หายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับนับ 1,2,3,4,5 และนับอีกครั้งหายใจเข้าออก ด้วยการฝึกแบบนี้คุณจะหายใจได้ลึกขึ้นและสบายขึ้น

ขั้นที่ 4 จิตนาการหายใจ

ขณะหายใจ คิดถึงภาพท้องของคุณที่พองขึ้นและยุบลงอากาศเย็นไหลเข้าไปและอากาศอุ่นๆ ไหลออกมา คุณจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างประหลาด

8 วิธีถนอมสายตาเมื่ออยู่หน้าคอม



1. เลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา วิธีทดสอบแบบง่ายๆ ทำโดยการปิดสวิตช์ภาพ แล้วเอาหรือแขนไปจ่อไว้ไกล้ๆ จอภาพให้มากที่สุด ซึ่งจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่บริเวณผิวเลย

2. ปรับแสงและความคมชัดหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตาให้มากที่สุด รวมทั้งความสว่างภายในห้องเราด้วย เพราะหากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า และจอภาพมีความสว่างมาก ก็ยิ่งสงผลเสียต่ดวงตาได้ง่ายขึ้น

3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาพอประมาณ 18-24 นิ้วหรือประมาณช่วงแขนเอื้อม และปรับระดับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา ซึ่งหากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กันอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย

4. ควรใส่แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อเป็นการช่วยกระจายรังสีจากคอมพิวเตอร์สู่สายตา ที่สำคัญควรเลือกแบที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้

5. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ เพราะฝุ่นละอองอาจะทำให้เกิดการสะท้อนมากยิ่งขึ้น

6. การหยุดพักหรือการเปลี่ยนแปลงตารางการทำงานซะใหม่ จะช่วยให้สายตาคลายความเมื่อยล้าจากการจ้องหรือเพ่งคอมพิวเตอร์ได้ เช่น หยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาที ทุกๆ 2 ชั่วโมง แล้วค่อยเริ่มการทำงานต่อไป ก็จะช่วยให้ถนอมสายตาได้

7. ใช้ผ้าซุปน้ำหมาดๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาสัก 2-3 นาที หรือจะให้ดีกว่านั้น ปิดไฟ นอนพะสักครู่ เพื่อเป็นการซาร์ตพลังงายให้กลับสายตามาแข็งแรงอีกครั้ง

8.สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ แจจะเกิดการตาแห้งเพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นห้องห้องแอร์ เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้อากาศแห้ง การหยดน้ำตาเทียมก็จะช่วยให้ตากลับมาสดชื่นอีกครั้งได้

***ตะบองเพชรช่วยได้

ลองหากระถางกระบองเพชรต้นเล็กๆ มาวางใกล้ๆ กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูสิ เพราะกระบองเพชรมีความสามรถดูดซับสังสี ได้เป็นอย่างดี

ทักษะหลักๆ 3 ประการของสมอง


1. ความสามารถในการจำ
สมองของเรามีวิธีจำอยู่ 2 ระดับ คือการจำระยะสั่นและระยะยาว

ความจำระยะสั้นคือ ความจำในเรื่องพื้นฐานประจำวัน เช่นต้องจำได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างในวันนี้ หรือหมายเลขรหัส ATM ของส่วนตัวความจำระยะยาวคือความจำที่ไม่ไช่แค่ตั้งใจจะท่องจำก็สามารถจำได้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน เพราะความจำระยะบาวจะเป็นเรื่องต่างๆ ที่มีขีดจำกัด

2. ความสามารถในการเรียนรู้

ถ้าคน 2 คนได้เรียนรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกัน แต่คนที่มีศักยภาพทางสมองดีกว่า ก็จะสามารถนำความรู้นั้นไปวิเคราะห์หรือนำไปเป็นข้ออ้างอิงใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้ มิใช่แค่รู้ไว้อย่างเดียวแต่ไม่มีทางจัดการกับความรู้นั้นๆ ให้เหมาะสมแต่ละโอกาสด้วย

3. ความคิดเชิงริเริ่มสร้างสรรค์

ยังมีคนอีกไม่น้อยที่คิดว่าความคิดความคิดในเชิงสร้างสรรค์ เป็นเรื่องของพรสวรรค์ แต่ความเป้นจริงแล้วสิ่งที่เราสามารถพัฒนาและสรรค์ให้เกิดขึ้นได้ เราพะว่าทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพในความคิดอะไรแลกๆ ใหม่ๆ อยู่แล้ว แต่ว่าบางคนไม่ได้ดึงมาใช้จึงไม่มีความมันใจในตัวเองว่าจะมีความคิดในเชิงนี้หรือ

กลิ่นปาก แก้ไขอย่างไร!?





1. ดูแลใส่ใจสุขภาพในช่องปากให้ดี ด้วยการแปลงฟันอย่างน้อยวันล่ะสองครั้ง เช้าและก่อนนอน หรือแปลงฟังทุกครั้งหลังอาหารก็จะช่วยทำให้ไม่เกิดการสะสมของเศษอาหารในช่องปาก


2.โคนลิ้นเป็นที่อยู่ของแบคทีเรีย อาจจะทำให้เกิดกลิ่นปากได้ การทำความสะอาดโคนลิ้นทุกครั้งหลังที่แปลงฟัน จึงมีความสำคัญมาก โดยใช้แปลงสีฟัน หรือแปลงทำความสะอาดลิ้นโดยเฉพราะก็จะได้ผลดี


3.หลังแปลงฟันตอนก่อนนอน ควรที่จะกลั่วปากด้วยน้ำยาทำความสะอาดทุกครั้ง เพราะว่าน้ำยาจะเคลือบอยู่ในปากเราได้นานในเวลานอน นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดกลิ่นปากในเวลานอนที่มีน้ำลายหลั่งออกมาน้อยได้อีกด้วย


4.น้ำจะช่วยล้างแบคทีเรียที่ออมาจากน้ำลาย ถ้าเราปล่อยให้ปากแห้ง แบททีเรียในปากก็จะเพิ่มจำนวนขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นปาก เพราะฉะนั้นในแต่ละวัน เราจึงต้องดื่มน้ำให้เพียงวพอ


5.ควรงดอาหารที่มีส่วนผสมของกระเทียม หอมใหญ่ เนยแข็งพริกไทย และอาหารที่ให้เกิดกลิ่นฉุน


6.ผักชีฝรั่งที่ใช้โรยหน้าอาหารนั้น มีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะมันจะเป็นตัวช่วยระงับกลิ่น ปากหลังมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี


7. ใบสะระแหน่ หรือใบมิ้นท์ ก้เป็นผักอีกชนิดหนึ่ง ที่สามารถช่วยให้ลมหายใจของเรา หอมสดชื่นขึ้นได้ การพกหมากฝรั่งหรือลูกอมกลิ่นมิ้นท์ติดตัวได้ จะช่วยเรื่องกลิ่นปากได้เยอะ แต่ต้องเป็บแบบไม่มีน้ำตาลนะครับ จะฟันผุครับ


8.ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้งห้าหมู่ รับประทานอาหารที่มีใยอาหารมากๆ เพราะการรับประทานอาหารที่ดีนี่แหละ ที่จะช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างปกติ


9.เลิกไปเลยดีกว่าสำหรับพวกชา กาแฟ และเครื่องพวกที่มีแอลดฮอล์ทุกชนิด รวมไปถึงการสูบบุหรี่ด้วย เพราะว่าการบริโภคสิ่งเหล่านี้ อาจจะทำให้สุขภาพในช่องปากไม่ดีได้


10.ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจเช็คสุขภาพฟันทุกหกเดือนเพื่อรักษาสุขภาพปากและฟันให้ดีที่สุด

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การดื่มน้ำที่ถูกต้อง

1. น้ำดื่ม เป็นน้ำเปล่าธรรมดา ไม่เป็นน้ำที่ร้อนมากหรือที่เย็นจัด ถ้าเป็นน้ำอุ่น ๆ เล็กน้อย ดื่มในตอนเช้าจะทำให้การขับถ่ายดีขึ้น ลำไส้สะอาด
2. ระยะเวลาที่ดื่มน้ำ ในวันหนึ่ง ( อาจเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยตามความสะดวก )
ตื่นนอนตอนเช้า ดื่มน้ำ 1 แก้ว ( แก้วบรรจุ 400 :ซี.ซี.)
ตอนสาย ดื่มน้ำ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00 – 10.00 น.)
ตอนบ่าย ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ13.00 – 14.00 น.)
ตอนเย็น ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 19.00 – 20.00 น.)
ก่อนเข้านอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้แลกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายดีขึ้น รวมแล้วให้สามารถดื่มเปล่าได้วันละ 10 แก้ว นอกเหนือจากนั้น ท่านสามารถดื่มน้ำผลไม้ น้ำนม ฯลฯ ได้อีกไม่จำกัด
3. ข้อควรจำ
3.1 ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำครั้งละ 2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปรกติสบาย ๆ ผู้ที่ดื่มครั้งแรก ๆ จะรู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อย เป็นอาการปรกติธรรมดา ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้น ต่อไปจะไม่มีอาการอีก สามารถดื่มได้ง่ายและเกิดความชื่นชอบ รู้สึกสดชื่นสบายที่ได้ดื่มน้ำมาก ๆ
3.2 เมื่อดื่มน้ำไปสักครู่หนึ่งจะปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะครั้งแรก ๆ จะมีสีเหลืองขุ่น กลิ่นฉุน เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด ไตเป็นเสมือนเครื่องกรองน้ำของร่างกาย
3.3 อย่าดื่มน้ำมากก่อนที่จะรับประทานอาหาร ( ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร ) และหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมาก ๆ ทันที
3.4 การรับประทานอาหารพร้อมกับดื่มน้ำตลอดเวลาเป็นนิสัยที่ควรหลีกเลี่ยง หากรู้สึกฝืดคอในระหว่างรับประทานอาหาร ให้ซดน้ำซุบแกงจืดแทน การดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารทั้งก่อนหน้าและหลังอาหารทันทีจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี
3.5 ไม่ควรรับประทานอาหารในแต่ละมือจนอิ่มแน่นท้องเกินไป ควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้อง หลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมงจึงดื่มน้ำตามปรกติ หากท่านได้ดื่มน้ำถูกหลักเช่นนี้เป็นประจำ จะเป็นผู้ที่มีสุขภาพอนามัยดี ร่างกายสดชื่น 

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทำไมน้ำต่ถึงเค็ม ??



รู้หรือไมทำไมน้ำตามีรสเค็ม ก็เพราะว่ามันประกอบไปด้วย เกลือโซเดียมคลอไรด์
หรือที่เรียกกันว่าเกลือแกง แมกนีเซียม การสะเทือนใจจะส่งผลให้น้ำตาไหล ที่หลั่งออกมากับน้ำตา จะสูงกว่า ที่ออกมากับน้ำตาเวลาที่เราเคืองตาถึง24เท่า แต่ข้อดีของการร้องไห้คือผู้ร้องไห้จะสบายขึ้น เพราะร่างกายได้ขจัดเอาสารเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่มีความทุกข์ออกไป
จากร่างกายพร้อมน้ำตาของเราด้วย

เพราะว่าน้ำตาผลิตขึ้นเมื่อคนเรานั้นร้องไห้ คือ สารที่คัดหลั่ง ที่มีหน้าที่หล่อเลี้ยงดวงตาของเราให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ โดยจะหลั่งมาจากต่อมน้ำตา หนังตา และเยื่อบุตา ตลอดเวลาในปริมาณที่น้อยมากจน เราไม่ทันรู้สึกตัวเลยล่ะ

เพราะเมื่อเวลาที่เราเกิดอารมณ์ดีใจ เสียใจ หรือ มีสิ่งแปลกปลอม ที่จะทำให้ระคายเคืองตาของเรา น้ำที่เราเรียกกันว่า น้ำตา ก็จะหลั่งมาจากต่อมน้ำตา ในปริมาณมากพอให้เห็นได้

และน้ำตาของเรา จะประกอบด้วยน้ำ และสารต่างๆ มันเหมือนกับอาหารให้เซลล์ผิวดวงตาที่ช่วยให้แข็งแรง เช่น ออกซิเจน ซึ่งโดยปกติ กระจกตา เป็นอวัยวะที่ ไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงเหมือนกล้ามเนื้อส่วนต่างๆในร่างกายเรา มันจึงต้องการออกซิเจน จากอากาศ และน้ำตาที่เป็นหลัก นอกจากนี้ น้ำตายังมีสารอิเล็กโทรไลต์ electrolyte และวิตามินต่างๆรวมอยู่ด้วย เช่น วิตามินเอ วิตามินอี มีสารต้านจุลชีพ antimicrobial และสารต้านอนุมูลอิสระ anti-oxidant ที่จำเป็นต่อการคงสภาพของผิวดวงตาเรานั้นเอง

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตะลึง !! ไข่ในไข่


คุณปู่เมืองผู้ดีตะลึง! พบ ไข่อยู่ในไข่


จอห์น เฟลโลวส์ อดีตเกษตรกร วัย 68 ปี เล่าว่า ขณะที่ตนตอกไข่เพื่อทำอาหารเช้าตามปกติ ก็ไม่ได้สังเหตเห็น ซึ่งหลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย กลับมาทำความสะอาดก็พบว่า มีไข่ใบเล็กๆอีกใบ อยู่ในเปลือกไข่ สภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยแตกร้าว สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก  มันอัศจรรย์มาก เพราะเขาไม่เคยพบกับเหตุเช่นนี้มาก่อน และควรที่จะเก็บรักษาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา


” ไข่ใบนอกมีขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 2 เท่า คล้ายกับว่ามีไข่แดงอยู่ 2 ฟอง แต่ไม่คิดว่ามันจะมีไข่อีกใบอยู่ข้างใน” 
ด้านนายโรเบิร์ต นิวเบอรรี่ ผู้เชี่ยวชาญอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า น่าจะเกิดจากภาวะช็อคอย่างฉับหลันของแม่ไก่ขณะอยู่ในกระบวนการผลิตไข่ ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก และแทบจะไม่พบเลย ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่อไป

สิ่งที่เป็นที่สุดของโลก





ท่าอากาศยาน ใหญ่ที่สุดในโลก

J.F.K International Airport , New York ……………….. USA



สะพาน กว้างที่สุดในโลก

Sydney harbor bridge, Australia ……..16 lanes of car traffic…..8 lanes in the upper floor, 8 in the lower floor



ตึกสูงที่สุดในโลก

Burj Dubai……….900 meters high. To be finally completed 2008




รถโดยสาร ใหญ่ที่สุดในโลก

Neoplan Jumbo - cruiser……..2 in 1 bus….double deck bus……170 passenger capacity






ครื่องบินโดยสาร ใหญ่ที่สุดในโลก

Airbus A380………..555 Passengers




สะพาน ยาวที่สุดในโลก

Donghai Bridge , China ……………………32.5 kilo meters



พระราชวัง ใหญ่ที่สุดในโลก

Palace of the Parliament…..Bucharest , Romania ………. more than 500 bedrooms, 55 kitchens,120 sitting rooms




เรือโดยสาร ใหญ่ที่สุดในโลก

MS Freedom of the Seas……4300 passenger Capacity Inside




สระว่ายน้ำในร่ม ใหญ่ที่สุดในโลก

World Water Park …..Edmonton , Albert , Canada …………..SIZE….5 Acres



สนามกีฬา ใหญ่ที่สุดในโลก

MARACANA STADIUM………… RIO D.J…………BRAZIL ……………CAPACITY…199,000




สนามกีฬา แพงที่สุดในโลก

New WEMBLEY STADIUM, London….90, 000 capacities…………….cost…..$1.6 billion 



อนุสาวรีย์ สูงที่สุดในโลก

CHRIST THE REDEEMER STATUE…..RIO.D.J……… BRAZIL



อาคารรวมสำนักงาน (Office Complex) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Chicago Merchandise Mart…..Illinois , USA

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ส่วนประกอบของยาสีฟัน






ฟอร์มาลดีไฮด์ หรือฟอร์มาลีน สารไร้สีกลิ่นแรงใช้ทำยาฆ่าเชื้อและยากันเน่า ที่เรามักรู้จักสารนี้ในการใช้
สำหรับดองศพเพื่อไม่ให้ศพเน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดห้องคนป่วย โดยฟอร์มา
ลีนเป็นส่วนประกอบของยาสีฟัน(นอกจากนี้ยังมี ยาบ้วนปาก สบู่ ครีมโกนหนวด) เนื่องจากมันมีคุณสมบัติ
ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียเล็กๆ ในช่องปาก แต่ความเข้มข้นที่ต่ำมาก แต่กระนั้นอันตรายจากฟอร์มาลีนจาก
ยาสีฟันก็ยังคงมีอยู่คือหากกินมากเกินไปอาจทำให้ตับและไตพังและอาจถึงตายได้



สารทำให้เกิดฟอง หรือผงซักฟอก เป็นผงที่มีลักษณะเป็นผง เม็ดเล็กๆหรือเกล็ด อัดขึ้นรูป กึ่งแข็งกึ่งเหลว
แท่ง หรือลักษณะอื่น ผงซักฟอก เป็นสารซักล้างที่ผลิตขึ้นมาใช้แทนสบู่ ในมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสารลด
แรงตึงเพื่อให้เกิดฟองช่วยทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากแต่สารบางชนิดอาจมีผลทำให้เยื่อบุ
ปากเกิดอาการแพ้และหากคุณกลืนสารนี้มากเกินไปอาจมีผลต่อกระเพาะอาหาร ปัจจุบันยาสีฟันส่วนมากไม่
ทำให้เกิดฟองมากเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากมีการใช้สารลดความตึงผิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยขึ้น


สารคาราจีแนนที่อยู่ในยาสีฟันนั้นมาจากสาหร่ายทะเล สารนี้ทำให้ส่วนผสมนี้เกาะตัวกันข้นเหนียว ทำให้
เกิดความลื่นไหลและยืดขยายเป็นเจลเข้าปาก ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์หลายชนิดนำสาหร่ายมาใส่ในยาสีฟัน
เพื่อคุณสมบัติต่างๆ เช่นสาหร่ายไดอะตอมซึ่งเป็นส่วนผสมของยาสีฟันช่วยขัดฟันให้ขาว สาหร่ายสไปรูลิ
น่าช่วยให้ฟันแข็งแรง



น้ำมันสะระแหน่ได้มาจากการสกัดน้ำมันจากสาระแหน่โดยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ โดยน้ำมันที่ได้จากการสกัดนี้ใช้
อย่างกว้างขวางในอาหาร ยา เครื่องสำอาง ซึ่งยาสีฟันนั้นก็มีการเติมน้ำมันสกัดนี้เพื่อทำให้ มีรสหวานทำให้
ยาสีฟันมีรสชาติดีขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดกลิ่นหอมเย็น เมื่อสูดดมทำให้โล่งจมูกรู้สึกสดชื่น อีกครั้งยัง
ช่วยฆ่าเชื้อโรค ส่วนอันตรายจากน้ำมันสาระแหน่ก็คือทำให้ระคายเคืองผิวหนัง และชีพจรปั่นป่วนหากรับ
ประทาน ดังนั้นหลายยี่ห้อมักใส่ในปริมาณความเข้มข้นต่ำ


พาราฟิน หรือ เคโรซีน เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมซึ่งกลั่นแยกออกจากน้ำมันดิบ จุดหลอมเหลวประมาณ
47-64 องศาเซลเซียส จุดเดือดประมาณ 150-275 องศาเซลเซียส ไม่ละลายในน้ำ สามารถใช้ประโยชน์
ได้มากมาย และ มีหลายสถานะด้วยกัน เช่น แก๊ส ของเหลว ของแข็ง โดยประโยชน์ของมันมีหลายอย่าง
เช่น แบบก๊าซใช้ทำเชื้อเพลิง ของเหลวใช้เป็นยารักษาโรค โดยสารนี้เป็นส่วนหนึ่งของส่วนประกอบของ
ยาสีฟันที่มีคุณสมบัติใช้ทำเทียนไข ช่วยในการเคลือบผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยขจัดคราบสกปรก โดยหาก
กลืนสารนี้ไปอาจเกิดอาการปวดท้องคลื่นไส้อาเจียนและท้องผูกอย่างรุนแรง


 กลีเซอรีนไกลคอลเป็นแอลกอฮอล์ที่มีคาร์บอน 3 ตัว มีลักษณะเป็นสารอินทรีย์ที่เป็นน้ำเหนียวไร้
สีและไร้กลิ่น เป็นส่วนประกอบของยาสีฟัน(น้ำยาบ้วนปาก, การดูแลผิว, ผลิตภัณฑ์ครีมโกนหนวด, ดูแล
เส้นผม, สบู่, น้ำมันหล่อลื่นของสงวน)เพื่อไม่ให้แห้งมากเกินไปและช่วยให้เกิดการหล่อลื่น แม้ว่าสารนี้เป็น
เพียงสารแต่งเติมที่ไม่มีอันตรายในยาสีฟัน แต่มันทำให้เกิดอาการคลื่นไส้เมื่อเรากลืนยาสีฟันเข้าไป


ส่วนที่เป็นสีขาวของยาสีฟันมีส่วนผสมหลักทำจากผลชอล์กบดละเอียด(แคลเซียมคาร์บอเนต) ที่ทำมาจาก
exoskeletons ซึ่งผงชอล์กนั้นเป็นส่วนประกอบของยาสีฟันมาช้านานแล้วในรูปแบบผง(นอกจากนี้ยังมีผง
อิฐ ผงถ่าน เกลือ) เนื่องจากผงชอล์กมีส่วนประกอบจากแคลเซียมและหินปูน การสูดดมในระยะยาวจะ
ทำให้มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เกิดการระคายเคือง หลอดลมอักเสบ


ส่วนสีขาวของยาสีฟันนั้นทำมาจากไททาเนียมไดออกไซด์(สารกันแดด) ซึ่งสารนี้เป็นสารเก่าแก่ชนิดหนึ่ง
เท่าๆกับโลกของเรา และเป็นหนึ่งใน 50ชนิดของสารที่ผลิตมากที่สุดทั่วโลก ลักษณะโดยทั่วไปมีสีขาว
นอกเหนือจากใช้เป็นส่วนประกอบของยาสีฟันแล้ว มันยังใช้งานได้หลากหลายเนื่องจากมันไม่มีกลิ่นและมี
ความสามารถในการดูดซับ ทำให้มีหลายผลิตภัณฑ์ใช้สารนี้เป็นส่วนผสม เช่น สีทาบ้านไปถึงอาหารและ
เครื่องสำอาง และสารนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสารสีที่ปลอดภัย ไม่ก่อมะเร็ง ไม่ก่อให้เกิดกลายพันธุ์ ไม่เป็น
อันตรายต่อหญิงมีครรภ์ ไม่มีพิษ หากแต่เราก็ไม่ไว้ใจกับสารนี้อยู่ดี


ซัคคาริน สารให้ความหวาน หรือขัณฑสกร นั่นแหละครับ ที่บ้านเราออกมาห้ามโน้นห้ามนี้ว่าอย่าใส่ในขนม
หรืออาหาร แต่มันดันเป็นส่วนประกอบของยาสีฟันเพื่อให้เกิดความหวาน เป็นสารเคมีให้ความหวานที่ถูก
สังเคราะห์ขึ้นโดยบังเอิญ ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1879 ปัจจุบันสถานะของขัณฑสกรถือว่าปลอดภัย แต่ผู้
บริโภคหลายกลุ่มยังไม่มั่นใจนัก เพราะอดีตขัณฑสกรถูกงดใช้ไปหลายครั้ง(อเมริกาพยายามห้ามใช้สารนี้
เมื่อปี 1972) นอกจากนี้ขัณฑสกรยังมีรสชาติขมในคอหลังจากกลืนแล้ว โดยเฉพาะเมื่อใช้ในปริมาณที่สูง


เวลาเราแปรงฟันแล้วรู้สึกเย็นในช่องปากก็เนื่องจากยาสีฟันมีเมนทอส(การบูร)มีส่วนผสมอยู่ เป็นมี
ลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี รูปเข็ม ได้จากการสกัดน้ำมันหอมระเหยของต้นไม้บางชนิดเช่น Mentha
piperita และ Mentha arvensis หรืออาจได้จากการสังเคราะห์ นิยมใช้เป็นสารแต่งกลิ่นรสในยารับ
ประทาน ยาอม ใช้บรรเทาอาการคัดจมูกหรือหายใจไม่สะดวกในยาสูดดมต่างๆ ในตำรับยาขี้ผึ้ง ครีม หรือ
เจลใช้ดับกลิ่น หรือทำให้รู้สึกเย็นสบาย หากกลืนหรือกินเข้าไปปริมาณเล็กน้อยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
แต่ถ้ากลืนหรือกินเข้าไปจำนวนมากอาจเป็นอันตรายได้








วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แอปเปิ้ลเปลี่ยนสี !!



       ปกติแอปเปิ้ลจะมีเปลือกสีแดงหุ้มอยู่ ซึ่งประกอบไปด้วยสารแอนติออกซิเดนท์โพลีฟีนอลหลายชนิด หน้าที่ของมันช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดดและอากาศด้านนอกที่จะมีต่อเนื้อแอปเปิ้ล เนื้อแอปเปิ้ลก็เลยดูขาวสะอาด น่ากินตลอดเวลา ดูๆ ไปเปลือกก็คล้าย เกราะคุ้มกันภัยดีๆ นี่เอง
      แต่เมื่อใดก็ตามที่เราปอกเปลือกทิ้ง อากาศภายนอกจะได้ลองลิ้มชิมรสกับเอนไซม์และสารที่อยู่ตรงผิวของแอปเปิ้ล จนเกิดเป็นสีน้ำตาลหรือดำอย่างที่เราเห็น
      วิธีป้องกันไม่ให้มันดำก็ยังมีอยู่เหมือนกัน คือ เมื่อปอกเสร็จแล้วก็เอาไปแช่น้ำเกลืออ่อนๆ ซึ่งน้ำเกลือจะเป็นตัวตายตัวแทนฉาบเนื้อแอปเปิ้ลเอาไว้ ออกซิเจนก็จะเข้ามาทำปฏิกิริยาสีน้ำตาลไม่ได้ เนื้อแอปเปิ้ลของเราก็จะขาวจั๊วะเหมือนเดิมแล้ว (วิธีนี้เอาไปประยุกต์ใช้กับผลไม้ชนิดอื่นๆ ได้เหมือนกัน ยกเว้นกล้วย...

ปริศนาภาพวาด Mona Lisa




       กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็
นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci 1452-1519) คือใครกันแน่ ภาพนี้วาดขึ้นราวๆ ค.ศ. 1503-1506 โดยแฝงรอยยิ้มที่ลึกลับ น่าเคลือบแคลง ไปด้วยปริศนามากมายลงบนใบหน้าของ โมนา ลิซ่า ให้ผู้คนได้นึกคิด จินตนาการกันไปต่างๆ นานา ยาวนานถึง 5 ศตวรรษ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน คำถามที่ผู้คนสงสัย และได้ค้นคว้าหาคำตอบกันอย่างมากมาย ก็คือ โมนา ลิซ่า คือใคร

       ตามคำบอกเล่าของ "จิออร์โอ วาซารี" (Giorgio Vasari 1511-1574) จิตรกร สถาปนิก และ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะในสมัยนั้น เขากล่าวไว้ว่า โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด

      จากหลักฐานอีกแหล่งหนึ่งจาก "อันโตนิโอ เดอ เบอาทิส" ผู้บันทึกปากคำของ ลีโอนาร์โดใน ค.ศ. 1517 ว่าผู้เป็นแบบในภาพคือสตรีชาว ฟลอเรนซ์ และ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้จากการที่ ไม่มีหลักฐานปรากฎที่แน่ชัดว่า ใครเป็นแบบให้กับ ลีโอนาร์โดวาดภาพนี้ จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะ -เป็น บุคคลใน ภาพอาจเป็น คอนสตันซ่า คาวารอส หรืออาจจะเป็น อิสซาเบลลา เดสเต ผู้อื้อฉาว หรืออาจเป็นภรรยาลับของ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ ทั้งนี้ ก็เพราะได้ปรากฎว่า มีโมนา ลิซ่า (เปลือย) หลายภาพในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็น ที่โด่งดังมากกับภาพเปลือยของสาวผู้นี้

       นอกจากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือ ภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire)

       แม้ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โด ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนักของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระราชวัง ฟองแตนโบล แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทม และมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"

       มุมมอง ทัศนะคติ และ ความคิดเห็นความรู้สึก ต่างๆ ที่มีต่อ Mona Lisa นั้นมีมากมายเหลือเกิน "จูลส์ มิเชอเลต์" ได้พรรณนาไว้ใน หนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า "ภาพเขียนนี้ดึงดูดข้าพเจ้า พรํ่าเรียกข้าพเจ้า รุกรานข้าพเจ้า ซึมซาบเข้าไปในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงลิ่วเข้าไปหาโดยไม่รู้สึกตัว ประดุจนกบินดิ่งเข้าไปในปากงูพิษ" นี่คือทัศนคติต่อ Mona Lisa ในศตวรรษที่ 16 ที่มองความงามในแบบอุดมคติ แต่มุมมองจากนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 กลับมองไปอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรแมนติคส์ที่มองว่า โมนา ลิซ่า เป็นสตรีมรณะ (Femme fatale) หรืออีกนัยหนึ่งคือสตรีผู้ยื่นความตายแก่บุรุษ

       สำหรับ เธโอฟิล โกติเอร์ (Theophile Gautier) โมนา ลิซ่า มิได้เป็นสาวน้อยที่มี รอยยิ้มแสนหวานงามปานกลีบกุหลาบ ตามที่วาซารีเคยพรรณนาไว้แต่จะเป็นสาววัย สามสิบที่ร่องรอยแห่งเลือดฝาด และความสดใสแห่งชีวิตเริ่มที่จะอันตรธานหายไป สีของอาภรณ์ และผ้าคลุมผมของเธอ ซึ่งหมองคลํ้าเพราะกาลเวลา ทำให้เธอดูเหมือนหญิง หม้ายที่แฝงไว้ด้วยความทุกข์โศก

       ที่จริงแล้ว ลักษณะรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า ที่มีการตีความไปต่างๆนานานั้น สามารถ พบเห็นได้ในภาพเขียนอื่นๆของ ดาวินซี่ เองเช่น รอยยิ้มที่แฝงความอ่อนโยนและการุณย์ ของเซนต์แอนน์ หรือพระแม่มารี หรือแม้กระทั่งรูปปั้นในยุคโบราณของกรีก ในศตรวรรษที่ 19 มีผู้เห็นว่าภายใต้รอยยิ้มยากที่จะหยั่งลึกของ โมนา ลิซ่า นี้กลับแฝงไว้ด้วย ปริศนาอมตะ แห่งอิสตรี ส่วนนักจิตวิเคราะห์อย่าง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund freud) ก็ตีความหมายว่า "ลีโอนาร์โดหลงไหลรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า" เพราะมันคือสิ่งที่หลับไหล ภายในจิตใจ และความทรงจำในอดีตของเขาที่ผ่านมานานแล้ว รอยยิ้มนี้ถอดแบบพิมพ์ มาจากคาเตรีนาผู้ที่เป็นมารดา สำหรับนักสุนทรียศาสตร์อย่าง วอลเทอร์ เพเทอร์ (Walter Pater) พรรณนาไว้ว่า "เธอมีอายุแกกว่าหินผาที่ห้อมล้อมเธอ ประดุจหนึ่งปีศาจดูดเลือด เธอได้ตายมาแล้วหลายคราและหยั่งรู้ความลึกลับแห่งหลุมศพ"

        พอมาถึงต้นศตรวรรษที่ 20 ผู้คนรุ่นใหม่ๆ เกือบที่จะไม่ได้แสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และทัศนคติต่อโมนา ลิซ่า เสียแล้ว เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1911 ในเวลา เช้าตรู่ข่าวการโจรกรรมภาพ Mona Lisa ออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ปรากฎต่อมวลชน ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอ และจับกลุมผู้โจรกรรมได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ปรากฎว่าคนที่โจรกรรมโมนา ลิซ่าไป ก็คือคนที่ทำความสะอาดในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง สถานที่ค้นพบ โมนา ลิซ่า นั้นก็คือเมือง ฟลอเรนซ์บ้านเกิดของเธอนั่นเอง ในปัจจุบันนี้โมนาลิซ่าได้รับการ ทะนุถนอมเป็นอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศและกันกระสุน ซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถลักพาตัวเธอได้อีกต่อไป มีสิ่งที่น่าสังเกตุก็คือ ตั้งแต่การหายลึกลับของ โมนา ลิซ่าเป็นระยะเวลายาวนานในคราวนั้น มีผู้ที่ไปดูโมนา ลิซ่าบางคนบอกว่า รอยยิ้มของเธอนั้นเปลี่ยนไป โดยที่ตั้งข้อสงสัยว่า เธออาจไม่ใช่ โมนา ลิซ่า ตัวจริง

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

**นาฬิกาชีวิต**


01.00 น. - 03.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ตับ"

ข้อควรปฏิบัติ : นอนหลับพักผ่อนให้สนิท
อาหารบำรุง : อาหารที่ช่วยล้างพิษ เช่น งา น้ำผลไม้และน้ำสะอาด

03.00 น. - 05.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ปอด"

ข้อควรปฏิบัติ : ตื่นนอน สูดอากาศสดชื่น
อาหารบำรุง : อาหารจำพวกเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอสูง เช่น ส้ม ผักใบเขียว น้ำผึ้ง หอมใหญ่

05.00 น. - 07.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ลำไส้ใหญ่"

ข้อควรปฏิบัติ : ขับถ่ายอุจจาระ
อาหารบำรุง : อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช

07.00 น. - 09.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"กระเพาะอาหาร"

ข้อควรปฏิบัติ : กินอาหารเช้า
อาหารบำรุง : ควรมีพลังงานและสารอาหารอย่างน้อย 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 ของปริมาณที่ควรได้รับตลอดวัน

09.00 น. - 11.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ม้าม"

ข้อควรปฏิบัติ : พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ
อาหารบำรุง : มันเทศสีแดง หรือเหลือง อาหารที่ทำจากบุก

11.00 น. - 13.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"หัวใจ"

ข้อควรปฏิบัติ : หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง
อาหารบำรุง : อาหารที่มีสีแดงตามธรรมชาติ เช่น ถั่วแดงและผลไม้สีแดง น้ำมันปลา วิตามินบีต่างๆ

13.00 น. - 15.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ลำไส้เล็ก"
ะะะ
ข้อควรปฏิบัติ : งดกินอาหารทุกประเภท
อาหารบำรุง : อาหารไขมันต่ำ น้ำสะอาด

15.00 น. - 17.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"กระเพาะปัสสาวะ"

ข้อควรปฏิบัติ : ทำให้เหงื่อออก (ออกกำลังกาย หรือ อบตัว)
อาหารบำรุง : ผลไม้เะช่น บิลเบอร์รี่ และทานน้ำสะอาดมากๆ

17.00 น. - 19.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ไต"

ข้อควรปฏิบัติ : ทำตัวให้สดชื่น ไม่ง่วงหงาวหาวนอน
อาหารบำรุง : อาหารที่มีเกลือต่ำ รวมถึงสมุนไพรจีน เช่น ถั่งเฉ้า

17.00 น. - 21.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"เยื่อหุ้มหัวใจ"

ข้อควรปฏิบัติ : ทำสมาธิ หรือสวดมนต์
อาหารบำรุง : อาหารจำพวกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ รวมถึงวิตามินบีต่างๆ

21.00 น. - 23.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ระบบความร้อนของร่างกาย"

ข้อควรปฏิบัติ : ห้ามอาบน้ำเย็น ห้ามตากลม ทำร่างกายให้อบอุ่น
อาหารบำรุง : อาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น ขิง โสม

23.00 น. - 01.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ถุงน้ำดี"

ข้อควรปฏิบัติ : ดื่มน้ำก่อนเข้านอน
อาหารบำรุง : อาหารที่มีไขมันต่ำ และไม่ทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

อนุสรณ์สถานแห่งประชาธิปไตย (Shrine of Democracy) มีใครบ้าง ?



ประธานาธิบดี 4 คน ที่มีบทบาทสำคัญต่อการประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ ได้แก่
1. จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1789 - 1797 ท่านเป็นผู้นำกองทัพในการทำสงครามประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ และต่อมาได้รับการยกย่องสถาปนาให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ถือว่าท่านคือบิดาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว

2. โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson)
ป็นประธานาธิบดีคนที่สามของสหรัฐฯ ในช่วงปี ค.ศ. 1801 - 1809 ท่านเป็นผู้ร่างคำประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ และขยายดินแดนออกไปกว่าสองเท่าจากทีมีอยู่เดิม โดยการซื้อดินแดนในความปกครองของฝรั่งเศส (Louisiana Purchase) ท่านเป็นผู้มีความสามารถหลายด้าน รวมทั้งผลงานทางสถาปัตยกรรม บ้านของท่านที่มอนติเชลโล รัฐเวอร์จิเนียซึ่งออกแบบด้วยตัวเองได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้

3. อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln
) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี ค.ศ. 1861 - 1865 ในช่วงที่ประเทศเข้าสู่ช่วงวิกฤตจากสงครามกลางเมือง (Civil War) ลินคอล์นเกิดมาในครอบครัวชาวนายากจนในรัฐเคนทักกีตอนกลางของประเทศ ศึกษากฎหมายด้วยตัวเองจนเป็นนักกฎหมายท้องถิ่น และไต่เต้าขึ้นมาจนได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกจากพรรครีพับลิกัน ท่านนำรัฐฝ่ายเหนือชนะรัฐฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมือง เป็นผลให้เลิกทาสได้สำเร็จในสหรัฐอเมริกา ท่านถูกลอบสังหารขณะชมการแสดงอยู่ในโรงละคร เป็นประธานาธิบดีที่เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร และยังคงเป็นประธานาธิบดีขณะเสียชีวิต

4. ทีโอดอร์ รูสเวลต์ (Theodore Roosevelt)
เป็นผู้นำประเทศในช่วงปี ค.ศ. 1901 - 1909 เป็นประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกา ในบรรดาประธานาธิบดีที่ปรากฏบนเมาต์รัชมอร์ รูสเวลต์เป็นคนที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดว่าเขามีผลงานอย่างไรถึงคู่ควรกับตำแหน่งอนุสาวรีย์บนเขาต่อจากอีกสามท่าน (เช่นเดียวกับที่บารัค โอบามาถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมกับรางวัลโนเบล) ผลงานที่ประจักษ์ชัดที่สุดของท่านคือการขุดคลองปานามาเชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติก ซึ่งช่วยย่นระยะทางการเดินเรือได้อย่างมาก และเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติโดยการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้นหลายแห่งในสมัยที่ท่านเป็นประธานาธิบดี





วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โพสต์อิทโน้ต( Post-it Notes)


กระดาษโน้ตแผ่นเล็กพร้อมแถบกาวอย่างอ่อน มีคุณสมบัติแปะที่ไหนติดที่นั่นเมื่อดึงกระดาษออกไม่เหลือร่องรอยของกาวติดอยู่ ณ ที่นั้น เป็นนวัตกรรมโดนใจชาวชนสำนักงานทั่วโลก มีการใช้แพร่หลายตามเอกสาร จอคอมพิวเตอร์ ประตูหน้าต่าง ตู้เย็น เขียนโน้ตบนกระดาษแปะทิ้งไว้เตือนความจำ โพสต์อิทโน้ตเป็นสินค้าของ 3M ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและผู้ผลิตออกจำหน่าย

นายสเปนเซอร์ ซิลเวอร์( Spencer Silver ) เป็นหนึ่งในทีมนักวิจัยของบริษัท 3Mในปี ค.ศ. 1968 เขาได้รับมอบหมายให้พัฒนากาวให้มีประสิทธิภาพสูง ติดได้แน่นทนทาน ถาวร แต่ผลของการพัฒนา เขากลับได้กาวออกมาที่ตรงกันข้ามกับเป้าหมายโดยสิ้นเชิง คือเป็นกาวอย่างอ่อน ติดง่าย ลอกได้ไม่ทิ้งร่องรอย

ต่อมาในปี ค.ศ. 1974 นายอาร์เธอร์ ฟราย( Arthur Fry )นักวิจัยอีกคนนำกาวนี้มาใช้ติดกระดาษไว้คั่นคัมภีร์ไบเบิล ในหน้าสวดมนต์ที่เขาต้องการเวลาไปโบสถ์ ก็เพราะคุณสมบัติติดง่าย ลอกได้ไม่ทิ้งร่องรอยนี้เอง 3M จึงนำไปพัฒนาออกมาเป็นกระดาษโน้ตสีเหลือง ที่มีแถบกาวชนิดนี้ออกจำหน่าย โดยให้ชื่อว่า"โพสต์อิทโน้ต"( Post-it Notes) ปรากฎว่าเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่คนทำงานในสำนักงาน กระดาษโน้ตสีเหลืองจึงพัฒนาเป็นหลายสีหลายขนาด หลายรูปเล่มเอาใจผู้ใช้ทั่วโลก

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

โยคะร้อน


ความพิเศษของโยคะร้อน
การเล่นโยคะร้อนในห้องร้อนนี้จะทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นได้มากกว่าในอุณหภูมิปกติ ท่าต่างๆของโยคะร้อนจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย ลดปัญหาการปวดหลังและคอ รวมทั้งทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น นอกจากนี้อุณหภูมิที่สูงยังช่วยให้ร่างกายสามารถกำจัดของเสียออกมาในรูปเหงื่อได้อย่างดี ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงและรู้สึกสดชื่น สบายตัวหลังการเล่น
เล่นโยคะอย่างไรให้ได้ผล
การเล่นโยคะต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการฝึกฝนเช่นเดียวกับการเล่นกีฬาอื่นๆ เพื่อความพร้อมและการปรับตัวของร่างกาย เสริสร้างความแข็งแรงและสัดส่วนของกล้ามเนื้อให้สมดุล ที่สำคัญคือการเล่นโยคะเป็นประจำนอกจากจะทำให้เกิดความแม่นยำในการเล่นแต่ละท่าแล้ว ยังทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจอีกด้วย ดังนั้น แนะนำว่าควรเล่นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 วัน ส่วนเวลาในการเล่นประมาณครั้งละ 90 นาที จะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็นก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้เล่น
ข้อดีของการเล่นโยคะ
1.เสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนิ้อ ข้อพับ หรือ ข้อต่อ
2.ช่วยลดน้ำหนักและกระชับกล้ามเนื้อซึ่งช่วยรักษารูปร่างให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม
3.การเคลื่อนไหวในแต่ละท่าเอื้อต่อระบบการไหวเวียนของเลือดเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4.ช่วยบริหารกล้ามเนื้อส่วนหัวใจให้เลือดไหลเวียนดีและขยายปอด
5.ไม่ทำให้เกิดอาการข้อเสื่อมภายหลังเพราะแต่ละท่าจะไม่มีการใช้ข้อต่อที่หักโหมเหมือนการเล่นกีฬาหรือ การเต้นบางประเภท
6.สามารถฝึกฝนที่บ้านได้ด้วยตนเอง และ ไม่จำกัดว่าควรเล่นในช่วงเวลาใด

สรรพคุณของเกลือ


๑. แก้ตะคริว ใช้เกลือละลายน้ำดื่มแก้ตะคริวได้บางท่านก่อนจะลงว่ายน้ำถ้าได้ดื่มน้ำเกลือก่อนจะช่วยให้ไม่เป็นตะคริว

๒. แก้คลื่นไส้ เมาสุรา ใช้เกลือ ๑/๒ ช้อนกาแฟต่อน้ำ ๑ แก้ว ผสมกันแล้วดื่ม อาการคลื่นไส้จะหายไป

๓. แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ใช้เกลือละลายน้ำสะอาด ๑ แก้ว ดื่มก่อนเข้านอนหรือตื่นนอนตอนเช้าแก้อาการร้อนในกระหายน้ำได้ผลดี

๔. รักษาโรคกระเพาะ ใช้เกลือ ๑ ช้อนชา ละลาย น้ำ ๑ แก้ว กินทุกเช้าหลังจากตื่นนอน ช่วยรักษาโรคกระเพาะได้

๕. แก้เป็นลม เอาเกลือทะเลละลายกับน้ำร้อน หรือน้ำเย็นดื่มแก้อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียน ตาลาย เพราะร่างกายอ่อนเพลียได้ผลดี

๖. แก้ถูกยาเบื่อ ใช้เกลือ ๑ ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำอุ่น ๑/๒ แก้ว กินครั้งเดียวกันอาเจียนออกมา

๗. แก้แผลปากเปื่อย ใส่เกลือบริเวณแผลแล้วอมไว้ ครั้งแรกจะรู้สึกแสบ ครั้งต่อไปแผลจะหาย

๘. แก้เผ็ด ถ้ากินอาหารรสจัด ๆ รู้สึกแสบที่ปากอมเกลือแล้วทิ้งไว้สักครู่ก็จะหาย

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

ตรวจสภาพกายใจ แบบชีวจิต

ตามแนวของชีวจิต ร่างกายและจิตใจแข็งแรง สดชื่นแจ่มใส อายุยืน ดูเด็กกว่าอายุจริง สุขทั้งกายและใจเช่นนี้วัดได้จาก FASJAMM ซึ่งย่อมาจาก
F = Fatigue
A = Appetite
S = Sleep
J = Joy and Alert
A = Anger
M = Memory
M = Morality

ต้องไม่มี Fatigue = ความอ่อนล้า
ต้องมี Appetite = ความอยาก
จะต้องมี Sleep = การหลับสนิท
ต้อง Joy and Alert = สดชื่นตื่นตัว
ต้องละ Anger = โทสะหรือความโกรธ
พึงมี Memory = คิดอ่าน จดจำ
จะต้องมี Morality = คุณธรรม